“มงคล พ่วงเภตรา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตามและมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป คือนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างประเทศ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 ปี 60 และสถานการณ์เศรษฐกิจไทยทั้งการบริโภคและการลงทุนภาครัฐ

“โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14 มิ.ย.นี้ มีความน่าจะเป็นสูงมาก เพราะจะมีผลต่อการซื้อขายสุทธิของต่างชาติและกระแสเงินทุนต่างชาติ ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีทั้งดีขึ้น และบางบริษัทออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ราคาหุ้นบางตัวถูกเทขายกดราคาร่วงลงจนฉุดตลาดภาพรวม”

สำหรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ได้รวบรวมจำนวน 79 บริษัท ที่ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ออกมาแล้ว มีกำไรรวมกว่า 110,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18% ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของกลุ่มธนาคาร, วัสดุก่อสร้าง, ปิโตรเคมี, ไอซีที และอาหาร เนื่องจากความสามารถในการขยายตลาดและพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร

ขณะที่ “ธีรดา ชาญยิ่งยงค์” ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่าภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1 ของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมา พบว่าหลายบริษัทมีผลประกอบการที่ผิดหวังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จึงเป็นสาเหตุทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในบางวัน แต่ยังมีหุ้นหลายตัวก็มีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นตามที่ประเมินไว้

ทั้งนี้ ในภาพรวมนักวิเคราะห์ประเมินว่า กำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 จะมีกำไรรวมกันอยู่ที่ระดับ 2.2-2.4 แสนล้านบาท โดยจำนวนนี้เป็นธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง มีกำไรเกือบ 54,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมธนาคารขนาดใหญ่และขนาดกลาง มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่นักลงทุนยังคงกังวลและจับตาเรื่องปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ของธนาคารที่ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นตัวกดดันต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ในระยะต่อไป

...

ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานที่กำลังทยอยแจ้งผลประกอบการ ประเมินว่าน่าจะมีกำไรสุทธิรวมกันสูงในระดับ 50,000 ล้านบาท!!

อินเด็กซ์ 51