ผมเพิ่งเขียนชื่นชม ธนาคารออมสิน ที่ออก โครงการสินเชื่อบ้านผ่อนต่ำ ปีแรกผ่อนล้านละ 10 บาทต่อเดือน และคิดดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 0.010% เท่ากับ ดอกเบี้ยล้านละ 100 บาทต่อปี เพื่อช่วยให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยของตนเอง แถมให้ผ่อนสบายๆ 20–40 ปี แม้แต่บัณฑิตจบใหม่เงินเดือน 15,000 บาท ก็ยังซื้อบ้านได้ ผมเห็นว่า เป็นโครงการที่แก้ปัญหาสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม ใครสนใจไปสอบถามได้ที่ บูธธนาคารออมสิน ภายใน งานมหกรรมการเงิน Money Expo Year–End 2019 ศูนย์นิทรรศการไบเทคบางนา ระหว่าง 28 พฤศจิกายนถึง 1 ธันวาคมนี้

วันอังคาร ครม.ก็อนุมัติตามที่ กระทรวงการคลัง เสนอ อัดฉีดเงินก้อนใหญ่ 144,000 ล้านบาท ครอบคลุมตั้งแต่ รากหญ้า ชาวไร่ชาวนา กองทุนหมู่บ้าน สหกรณ์การเกษตร ฯลฯ ไปจนถึงมาตรการเซอร์ไพรส์ จ่ายเงินดาวน์ให้คนซื้อบ้านในโครงการ “บ้านดีมีดาวน์”

คุณอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีคลัง แถลงว่า โครงการบ้านดีมีดาวน์ รัฐจะช่วยจ่ายเงินดาวน์ให้รายละ 50,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 100,000 บาท และ อยู่ในระบบฐานภาษีของกรมสรรพากร กำหนดสิทธิไว้เพียง 100,000 รายเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ถึง 31 มีนาคม 2563 โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ผ่านเว็บไซต์ www.บ้านดีมีดาวน์.com  ใครมาก่อนได้ก่อน ถ้าผ่านเกณฑ์จะได้รับเอสเอ็มเอสแจ้ง เพื่อนำไปเป็นหลักฐานการกู้เงินจากธนาคาร เงิน 50,000 บาท รัฐจะโอนเข้า บัญชีพร้อมเพย์ ของผู้กู้

...

เมื่อวานนี้ผมได้ระบุข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่เปิดเผยว่า ปีนี้มีบ้านและคอนโดเหลือขายอยู่ 270,131 หน่วย อยู่ในกรุงเทพฯ 56.3% ก็ประมาณ 152,000 กว่าหน่วย อยู่ต่างจังหวัด 43.7% ก็ประมาณ 118,000 กว่าหน่วย ส่วนใหญ่เป็นบ้านและคอนโดที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์ทั่วไปไม่ปล่อยกู้อยู่แล้ว

ถ้าโครงการ บ้านผ่อนต่ำล้านละ 10 บาท ของ ธนาคารออมสิน รวมพลังกับ บ้านดีมีดาวน์ ของ กระทรวงการคลัง ที่รัฐบาลจ่ายเงินดาวน์ให้หลังละ 50,000 บาท จำนวน 100,000 หลัง ผมคิดว่าจะช่วยขายบ้านและคอนโดในสต๊อกที่เหลือได้อย่างน้อยก็ 100,000 กว่าหน่วยขึ้นไป บ้านและคอนโดหลังละ 2–3 ล้านบาท จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างน้อยก็ 200,000–300,000 ล้านบาท

เมื่อบ้านในสต๊อกขายหมดไปแสนกว่าหน่วย ปีหน้าก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่อีกแสนกว่าหน่วย บวกกับโครงการที่กำลังก่อสร้างและโครงการใหม่ ก็จะช่วย สร้างงานสร้างเงินให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจอีกหลายแสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยประคองจีดีพีปี 2563 ให้มีแรงเหวี่ยงเติบโตต่อไปได้ก็เป็นมาตรการที่ดีมาตรการหนึ่ง

ในแพ็กเกจเดียวกัน รัฐอัดฉีดเงินอีกก้อน 14,384.4 ล้านบาท ผ่าน กองทุนหมู่บ้าน 71,742 แห่ง แห่งละ 200,000 บาท เพื่อนำไป ส่งเสริม การจ้างงานในหมู่บ้าน เช่น สร้างยุ้งฉางชุมชน โรงตากพืชผลการเกษตร โรงสีชุมชน โรงผลิตปุ๋ยชุมชน แหล่งน้ำชุมชน เครื่องจักรแปรรูปเกษตร ฯลฯ เงินก้อนนี้คงต้องระบุโครงการให้ชัดเจน เดี๋ยวข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่นจะงาบหัวคิวไปกินอีก สมัยนี้หัวคิวยิ่งเยอะอยู่ด้วย

กระทรวงการคลัง ยังอัดฉีดเงินก้อนใหญ่อีกก้อน 50,000 ล้านบาท ผ่าน ธ.ก.ส. เพื่อปล่อยกู้ต่อให้กับ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม ฯลฯ โดยคิดดอกเบี้ยเพียง 0.01% หรือ ล้านละ 100 บาทต่อปี เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยตามปกติ เริ่มตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2562 ถึง 30 พฤศจิกายน 2565 รวมทั้ง การพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯที่เป็นหนี้ เพื่อให้มีเงินไปใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน

ผมเขียนแนะนำรัฐบาลไปวันก่อน “ให้ทำ QE อัดฉีดเงินในประเทศ” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาแบบสหรัฐฯ ยุโรป วันนี้รัฐบาลเริ่มทำแล้ว ผมขอให้ “ทำแบบพอเพียง” ก็แล้วกัน อย่าเว่อร์และนานเหมือนสหรัฐฯ ยุโรป เดี๋ยวจะเกิดผลเสียตามมาอีก.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

อ่านข่าวเพิ่มเติม