เศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ ผู้คนโอดครวญกันทั้งบ้านทั้งเมือง หลายคนเรียกว่าเศรษฐกิจ “ตกต่ำ” บางคนเรียก “ถดถอย” แต่นายกรัฐมนตรีไม่ยอมรับ อ้างว่าเศรษฐกิจ “โตช้า” ผลการสำรวจความเห็นของกลุ่มตัวอย่างคนไทยทั่วประเทศ คนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อมั่นมากที่สุดใน 65 เดือน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวย การศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจผู้บริโภคในเดือนตุลาคม ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 70.7 ต่ำสุดในรอบ 65 เดือน และจากการประเมินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งโครงการชิมช้อป ใช้ ยังไม่กระตุ้นเศรษฐกิจจริง
สำนักวิจัยทั้งหลาย รวมทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าปี 2562 นี้ จีดีพีของประเทศในเอเชียจะตกต่ำทุกประเทศ เช่น เกาหลีใต้โต 2.0% มาเลเซีย 4.5% อินโดนีเซีย 5.0% ฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยเป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” โต 5.7% ไทยแลนด์ 2.9% ต่ำสุดในอาเซียน
เศรษฐกิจโลกปัจจุบันต่างชะลอตัวโดยถ้วนหน้า ต่างกันแต่เพียงแย่น้อยหรือแย่มากกว่ากัน สหรัฐอเมริกา อภิมหาอำนาจเศรษฐกิจของโลก มีอัตราการว่างงานสูงสุดในรอบสิบกว่าปี ประเทศ ไทยซึ่งมีปัญหาการว่างงานอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มีข่าวการปิดโรงงานและโละลูกจ้างเป็นระยะ
ข้อมูลระบุว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา โรงงานอุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์สั่งเลิกจ้างพนักงานหลายแห่ง บางแห่งให้หยุดงาน แบบชั่วคราว บางแห่งปิดกิจการไปเลย ในครึ่งปี 2562 นี้ มีลูกจ้างกลายเป็น “ผู้ว่างงาน” อย่างเป็นทางการกว่า 4 แสนคน
...
แต่ปัญหาที่น่ากังวลที่สุดคือในต้นปี 2563 นี้ มีผู้จบการศึกษาออกมาหางานทำกว่า 5 แสนคน รวมกับผู้ที่ ว่างงานอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการอาจเป็นล้านคน ไม่ทราบว่า รัฐบาลเตรียมรับมืออย่างไรหรือไม่ ดูท่าจะเป็น “จ่าเฉย” นั่งภาคภูมิใจในการแจกเงินไปวันๆ
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาแค่ระยะสั้นๆ ไม่มั่งคั่งยั่งยืน ไม่ได้สร้างงานแม้แต่งบประมาณรายจ่าย 2563 ที่อยู่ในสภาขณะนี้ ก็มีเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ว่า มุ่งด้านความมั่นคง ส่วนใหญ่เป็นงบประจำ เช่น เงินเดือนข้าราชการ มีงบลงทุนสร้างงานน้อยเกินไป.