คุณสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน เปิดเผยว่า ทีมโกลบอลของเฟซบุ๊ก ได้ติดต่อขอคุยกับแบงก์ชาติถึงรายละเอียด เงินดิจิทัล "Libra" คาดว่าการหารือกับเฟซบุ๊กจะเกิดขึ้นในปีนี้แน่นอน สาเหตุที่เฟซบุ๊กติดต่อเรา เข้าใจว่าเราอยู่ในเรดาร์ของเขา เนื่องจากคนไทยมีบัญชีเฟซบุ๊กถึง 50 ล้านบัญชี ตอนนี้กำลังหาเวลาที่ลงตัวกันอยู่
วันเดียวกัน นายราวี มีนอน ผู้ว่าการธนาคารกลางสิงคโปร์ ก็เปิดเผยว่า ได้หารือกับทีมเฟซบุ๊ก ถึงเงินดิจิทัล Libra Cryptocurrency ที่จะนำมาใช้ในครึ่งปีแรกของปี 2020 ผมเชื่อว่า เฟซบุ๊ก คงหารือกับ แบงก์ชาติทั่วโลก เพราะต้องใช้ทั่วโลก
ทันทีที่เฟซบุ๊กเปิดตัว โครงการ Libra Cryptocurrency รุ่งขึ้น คณะกรรมาธิการการเงินสภาผู้แทนสหรัฐฯ ก็ส่งหนังสือไปถึง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นางเซอร์ริล แซนด์เบิร์ก นายเดวิด มาร์คัส หัวหน้าโครงการ เงินดิจิทัล Libra และ กระเป๋าเงิน Calibra ขอให้ยุติการพัฒนาออกไปชั่วคราว โดยเห็นว่า เงินดิจิทัล “ลิบรา” และ กระเป๋าเงินดิจิทัล “คาลิบรา” ยังไม่มีกฎระเบียบการกำกับดูแลที่เพียงพอ เฟซบุ๊กเองก็มีประวัติไม่ดีเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล หากปล่อยให้มีการ จัดเก็บเงินดิจิทัลหลายล้านล้านเหรียญ โดย ไม่มีระบบประกันเงินฝาก อาจตกเป็นเป้าหมายการขโมยของเหล่าแฮกเกอร์ ในทางกลับกัน กระเป๋าเงินดิจิทัลคาลิบรา อาจกลายเป็น พื้นที่ฟอกเงิน และ การกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ อีกด้วย
แสดงว่า สภาผู้แทนสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วย แต่ยังไม่มีความเห็นจาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ ถ้าเงินดิจิทัล Libra จะไม่เกิด ผมเชื่อว่า Libra จะตายที่บ้านเกิดของเฟซบุ๊กนั่นแหละ
คิดกันง่ายๆ วันนี้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กทั่วโลก 2,380 ล้านคน จากประชากรโลก 7,700 ล้านคน คิดเป็น 30% หรือ 1 ใน 3 ของประชากรโลก ถ้าเปรียบเฟซบุ๊กเป็นประเทศ ประเทศเฟซบุ๊ก ก็ใหญ่กว่าประเทศแม่ สหรัฐอเมริกา ที่มีประชากร 329 ล้านคน ใหญ่กว่า ยุโรป ที่มีประชากร 500 กว่าล้านคน ใหญ่กว่า จีน ที่มีประชากร 1,400 ล้านคน
...
ถ้าเฟซบุ๊กจะสร้าง “สกุลเงินเฟซบุ๊ก” ที่เขาเรียกว่า Libra ขึ้นมาใช้เองในหมู่ ประชากรเฟซบุ๊ก 2,380 ล้านคน ก็ย่อมสามารถทำได้ Libra จะกลายเป็น “เงินตราสกุลที่ 2 ของประชากรเฟซบุ๊ก” ที่กระจายอยู่ทุกประเทศทั่วโลก
คำถามก็คือ แบงก์ชาติทั่วโลกจะยอมตกอยู่ใต้อำนาจ ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊กเพียงคนเดียวหรือไม่ แม้เฟซบุ๊กจะอ้างว่ามี สมาคมลิบรา หรือ Libra Association เป็นคนกลางทำหน้าที่ควบคุมเงินดิจิทัลสกุลลิบราก็ตาม การยอมรับเงิน Libra ของเฟซบุ๊กมาใช้เป็นเงินตราที่ถูกต้องตามกฎหมาย เท่ากับว่า แบงก์ชาติแต่ละประเทศ จะต้อง สูญเสียอธิปไตยทางการเงิน ไปโดยปริยาย ทำให้ เงินดิจิทัล Libra เปรียบเสมือนเป็น เงินยูโร ใน ยูโรโซน ที่ทุกประเทศในยูโรโซนต้องยกเลิกเงินสกุลของตัวเองเปลี่ยนไปใช้เงินยูโรแทน
การที่เฟซบุ๊กอ้างว่า เงินดิจิทัล Libra จะไม่เหมือนเงินดิจิทัลทั่วไป เช่น บิทคอยน์ เพราะ เงินดิจิทัล Libra จะมีสินทรัพย์หนุนหลังเหมือนเงินตราทุกประเทศ เช่น สกุลเงินต่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาลประเทศต่างๆ แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ถ้า Libra จะใช้เงินตราต่างประเทศหนุนหลัง ก็ต้องเป็น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากข้อมูล ณ เดือนมกราคม ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบการเงินสหรัฐฯ หรือ M1 มีเพียง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ ถ้าเป็น M2 รวมหมดทุกอย่างก็มีเพียง 14 ล้านล้านดอลลาร์ แล้ว Libra จะเอาเงินตราต่างประเทศที่ไหนมาหนุนหลัง เพื่อรักษามูลค่าของเงินลิบราเอาไว้
แต่ถ้า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก สามารถทำได้ เขาก็จะกลายเป็น ผู้นำ ของ ประเทศเฟซบุ๊ก ในโลกไซเบอร์ เป็นเจ้าของเงินดิจิทัลสกุล Libra เป็น Super Hero ของโลกไซเบอร์ ที่จะมีคนเลียนแบบตามเขาอีกมากมายเลยทีเดียว คิดแล้วก็ฟุ้งซ่านดีครับ จะได้ลืมโลกแย่ๆในปัจจุบันลงเสียบ้าง.
"ลม เปลี่ยนทิศ"