วันนี้ไปดู สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่บานฉ่ำ และกำลังจะบานปลายกลายเป็น “สงครามระหว่างอารยธรรมผิวสี” ที่ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าเป็น clash of civilization พร้อมกับระบุในรายงานที่เรียกว่า Letter X ถึง สงครามการค้าจีนกับสหรัฐฯว่า “เป็นการต่อสู้กับความศิวิไลซ์ และอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน” และระบุว่า “จีนเป็นคู่แข่งมหาอำนาจรายแรกของสหรัฐฯที่ไม่ใช่ผิวขาว” คู่แข่งมหาอำนาจของสหรัฐฯที่เป็นผิวขาวก็คือ สหภาพโซเวียตรัสเซีย ที่ทำศึก “สงครามเย็น” กันหลายสิบปีจน สหภาพโซเวียตล่มสลาย กลายเป็น ประเทศรัสเซีย ในปัจจุบัน

ที่น่าแปลกใจก็คือ ดร.ไครอน สกินเนอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนนโยบาย กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ทำรายงานเอ็กซ์ฉบับนี้ เธอก็เป็นผู้หญิงผิวสี เหมือนกัน

วันวาน ประธานาธิบดีสี จิ้งผิง ผู้นำจีน จึงได้กล่าวสุนทรพจน์ตอบโต้สหรัฐฯในพิธีเปิดการประชุมว่าด้วย “การหารือเรื่องความศิวิไลซ์ของเอเชีย Conference on Dialogue of Asian Civilization” ที่กรุงปักกิ่ง ท่ามกลางผู้แทนจาก 50 ประเทศในเอเชียว่า “การคิดว่าเผ่าพันธุ์และวัฒนธรรมของตนเองยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือกว่าคนอื่น เป็นเรื่องโง่เขลาทางความเข้าใจ และเป็นหายนะทางความเป็นจริง ไม่มีการปะทะกันระหว่างความศิวิไลซ์ที่แตกต่างกัน แต่เราต้องมองให้เห็นความสวยงามในความศิวิไลซ์ทั้งหมด”

แม้ ผู้นำจีน จะไม่ได้เอ่ยถึงชื่อ สหรัฐฯ แม้แต่คำเดียว แต่ทุกคนก็รู้ว่า ผู้นำจีนกำลังพูดถึงสหรัฐอเมริกา และ ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ผู้ก่อสงครามการค้ากับจีน และบานปลายไปถึงเผ่าพันธุ์ผิวสี และอารยธรรมความศิวิไลซ์

ในความเป็นจริง ประธานาธิบดีทรัมป์ แม้จะมี ผิวขาว แต่บรรพบุรุษของเขาก็เป็น “ผู้อพยพมาจากยุโรป” ไปตั้งรกรากใหม่ที่ สหรัฐอเมริกา ที่เป็นประเทศผิวสีดั้งเดิม คือ อินเดียนแดง และ ดร.ไครอน สกินเนอร์ เธอก็มี ผิวดำ ที่ไปตั้งรถรากที่อเมริกาเหมือนกัน จึงไม่ควรคิดแบ่งแยกผิวสีกับความศิวิไลซ์กับ คนผิวเหลือง ในเอเชีย

...

สงครามการค้าระลอกที่สอง ที่รุนแรงกว่าเดิมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำสหรัฐฯ ก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วยการ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 200,000 ล้านดอลลาร์ จาก 10% เป็น 25% มีผลตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว และตั้งเป้าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 325,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคต เพื่อหวังบีบให้บริษัทต่างชาติในจีนที่เดือดร้อนจากภาษี ต้องย้ายโรงงานการผลิตออกไปจากจีน ฝ่ายจีนก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 60,000 ล้านดอลลาร์ มีผลในวันที่ 1 มิถุนายนที่จะถึงนี้

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนเคยกล่าวไว้ว่า “เศรษฐกิจจีน เป็นดุจมหาสมุทรไม่ใช่สระน้ำเล็กๆ พายุฝนอาจชะทำลายสระน้ำเล็กได้ แต่จะทำอะไรทะเลไม่ได้ ถึงจะกระหน่ำมากี่ลูก มหาสมุทรย่อมอยู่ดั่งเดิม”

ผมคิดว่า ผู้นำจีนพูดถูก โครงสร้างเศรษฐกิจจีนวันนี้ จีดีพีจีนพึ่งการบริโภคในประเทศของประชาชนจีนกว่า 1,400 ล้านคน สูงถึง 76.2% พึ่งการส่งออกเพียง 17.9% ขณะที่ ประชากรสหรัฐฯกว่า 300 ล้านคน ต้องพึ่งพาสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกจากต่างประเทศ ล่าสุด บริษัท เทรด พาร์ตเนอร์ชิพ เวิร์ลด์ไวด์ ของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานวิเคราะห์ผลของสงครามการค้าว่า สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 250,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 25% จะทำให้ตำแหน่งงานในสหรัฐฯหายไป 934,000 ตำแหน่งภายในปีเดียว และ ทำให้รายจ่ายครอบครัวอเมริกันที่มีสมาชิก 4 คน เพิ่มขึ้น 767 ดอลลาร์ต่อปี ถ้า ขึ้นภาษีอีก 325,000 ล้านดอลลาร์ เป็น 25% ตำแหน่งงานในสหรัฐฯจะหาย 2.1 ล้านตำแหน่งในปีเดียว และครอบครัวที่มีสมาชิก 4 คน จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นปีละ 2,000 ดอลลาร์

ผมสรุปฟันธงล่วงหน้า เกมนี้ประธานาธิบดีทรัมป์พ่ายแพ้แน่นอน ปลายปีหน้า 2020 ทรัมป์จะไม่ได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีก ตัดแปะข้างฝาไว้ได้เลย.

“ลม เปลี่ยนทิศ”