ก่อนหน้านี้ หลายบริษัทประเมินว่า ชิปประมวลผลจะขาดแคลนอย่างน้อยจนถึงปี 2022 แต่การประเมินครั้งล่าสุดของ อินเทล (Intel) และทีเอสเอ็มซี (TSMC) เชื่อว่าปัญหานี้จะลากยาวไปจนถึงปี 2023
กลายเป็นปัญหาที่ลากยาวต่อเนื่อง และคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะคลี่คลาย สำหรับสถานการณ์ชิปขาดแคลนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จากการประเมินล่าสุดของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ได้มีการประเมินสถานการณ์ใหม่ โดยเชื่อว่าปัญหานี้จะส่งผลต่อเนื่องอีกหลายปี
แพต เกลซิงเกอร์ ซีอีโอของอินเทล ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ โดยเขามองว่า ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งคงต้องใช้เวลาราว 2-3 ปี กว่าที่จะแก้ปัญหาความต้องการชิปที่สูงขึ้น ควบคู่ไปกับกำลังการผลิตที่มีอย่างจำกัด
พร้อมกันนี้ เกลซิงเกอร์ บอกด้วยว่า ไม่ได้มีแค่วงการเทคโนโลยีเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนชิปประมวลผล แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมการแพทย์ด้วย เนื่องจากการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็มีความต้องการใช้เซมิคอนดักเตอร์เช่นกัน
ขณะที่ ซีซี เว่ย (C.C. Wei) ซีอีโอของทีเอสเอ็มซี อีกหนึ่งผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ประเมินสถานการณ์อันเลวร้ายของการขาดแคลนชิปในทำนองเดียวกับต่อนักลงทุน โดยทีเอสเอ็มซี กล่าวว่า บริษัทมีความพยายามจะเพิ่มกำลังการผลิตชิป เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่กว่าที่จะถึงเวลานั้นก็อาจต้องรอจนถึงปี 2023 เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ซีซี เว่ย ยอมรับว่า ทีเอสเอ็มซี เร่งเครื่องเดินหน้าผลิตชิปประมวลผลเกิน 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนได้ตามความต้องการของลูกค้าอยู่ดี
ที่ผ่านมา การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ เช่น ฟอร์ด, นิสสัน รวมถึง โฟล์คสวาเกน ได้สั่งลดการผลิตลง ซึ่งทำให้มีการประมาณการว่าบริษัทรถยนต์น่าจะสูญเสียรายรับไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอย่างซัมซุง (Samsung) ก็ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัว Galaxy Note 21 ไปแล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกัน.
ที่มา: Washington Post, Bloomberg
...