สัปดาห์ที่แล้ว คงไม่มีใครพลาดข่าวผลเลือกตั้งช็อกโลก ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีคนใหม่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้ที่มีจุดยืนสุดโต่ง ชูนโยบายหาเสียงซื้อใจอเมริกันชนคนขาว ภายใต้แนวคิด “Make America Great Again” โดยเขาเชื่อว่าสาเหตุหลักที่อเมริกาตกต่ำอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะการปล่อยให้เม็ดเงินไหลออกนอกประเทศมากเกินไป เปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาทำงานมากเกินไป คนชาติอื่นเหล่านี้เข้ามาแย่งงานคนขาวในอเมริกา ดังนั้นหนึ่งในนโยบายหลักทางการเมืองของทรัมป์ คือ การขจัดแรงงานต่างชาติออกไปจากประเทศ และล้อมกำแพงให้อเมริกา
ท่ามกลางกระแสต่อต้านมากมายจากอเมริกันชนหลายภาคส่วน จนถึงขั้นเกิดการประท้วง การจลาจล และโซเชียลแห่ติดแฮชแท็ก #NotMyPresident เฟื่องมองว่านี่อาจเป็น “โอกาสครั้งสำคัญ” ของอุตสาหกรรมไอทีเอเชีย ด้วยเหตุผลหลักๆ 3 อย่างค่ะ
1. Silicon Valley เริ่มถึงจุดอิ่มตัวเป็นทุนเดิม
เราทราบกันดีว่าสถานที่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่ง Tech Startup แหล่งกำเนิดของบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ทั้ง Apple, Google, Facebook, Amazon, Paypal, Twitter, SpaceX ฯลฯ รวมไปถึงธุรกิจมากมายที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี ล้วนอยู่ที่ซิลิคอนวัลเลย์ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นสถานที่ในฝันที่คนในวงการเทคฯ อยากจะไปเยือนให้ได้ซักครั้งในชีวิต แต่หากใครติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด จะได้ยินแว่วๆ ถึง “ภาวะฟองสบู่” ของดินแดนเหล่านี้ มูลค่าบริษัทไอทีถูกประเมินไว้สูงมาก และอาจสูงเกินความเป็นจริง มีหลายบริษัทที่ไม่แข็งแกร่งพอและไปไม่รอด แม้แต่ทวิตเตอร์ที่เคยดูมีอนาคตสดใสมากๆ ยังแว่วมาว่าจะปิดตัวลงเลย ดังนั้นจึงมีกระแสคนอยากออกมาหาพื้นที่ใหม่ๆ ในการสร้างธุรกิจไอทีของตน และเอเชียเป็นทางเลือกที่ดี
...
2. หัวกะทิด้านไอทีจำนวนมากเป็นเอเชีย
โปรแกรมเมอร์, โค้ดเดอร์, ดีไซเนอร์ หรือแม้แต่ระดับ CEO หลายคนที่ทำงานให้บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ที่อเมริกาขณะนี้เป็น “เอเชีย” ค่ะ ทั้งอินเดีย จีน สิงคโปร์ ไทย ฯลฯ นั่นคือเหตุผลว่าตั้งแต่ช่วงหาเสียง กว่า 90% ของบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ต่อต้านทรัมป์ที่จะกีดกันแรงงานต่างชาติออกไปจากประเทศ จริงๆ แล้วคนเอเชีย ฝีมือระดับเทพทั้งหลาย อยากไปหาโอกาสด้านการงานที่อเมริกา ในขณะที่บริษัทไอทีเองก็เต็มใจจ้างหัวกะทิจากเอเชียที่ทั้งฉลาด ขยัน และที่สำคัญค่าแรงถูกกว่าคนขาวถึง 2 ใน 3
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเป็นแบบนี้แล้ว บริษัทไอทีมี 2 ทางเลือก คือ
1. ยอมย้ายบริษัทตามพนักงานหัวกะทิเหล่านี้ไป (อาจจะดูยาก แต่เฟื่องว่ามีโอกาสนะคะ เพราะเช่น Google มีพนักงานเอเชียกว่า 35% หรือเฟซบุ๊กเองก็มีวิศวกรเป็นคนเอเชียถึง 43%)
2. อยู่ในอเมริกาต่อไปและเปลี่ยนมาจ้างคนขาวแทน ซึ่งนั่นหมายถึงต้นทุนมหาศาลที่จะเพิ่มขึ้น
3. เอเชียเป็นกำลังผลิตชิ้นส่วนไอทีที่สำคัญ Startup ที่กำลังเติบโต
ทุกวันนี้องค์ความรู้และความเจริญไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในอเมริกา แต่กระจายมายังเอเชียสักพักนึงแล้ว ทั้งญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง ก็มีบริษัทด้านเทคโนโลยีทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ที่กำลังไปได้สวย มีงานประชุมด้านเทคโนโลยี มีสื่อที่ใส่ใจด้านนี้ โดยเฉพาะจีน ที่ถือเป็นมหาอำนาจ (ฝั่งเอเชีย) มี Alibaba ที่กำลังขยายกิจการขนานใหญ่ ไหนจะค่ายมือถืออีกมากมาย อย่าง Android ดังๆ เกินครึ่งก็ล้วนมาจากจีน ยังไม่นับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแขนงต่างๆ นักลงทุน หรือเงินทุนใหม่ๆ ในเอเชียเอง ดังนั้น เมื่อทรัมป์ประกาศคว่ำบาตรประเทศอื่นๆ ขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ยากที่กลุ่มประเทศเอเชียจะไม่เปิดรับอเมริกาเช่นกัน และใช้โอกาสนี้ในการสร้างฐานผู้ใช้งานให้แข็งแกร่ง มีอำนาจเป็นของตัวเองได้ มีสตาร์ทอัปท้องถิ่นหลายตัวที่พร้อมจะเติบโต ประกอบกับจริงๆ แล้วบริษัทไอทีหลายแห่งในอเมริกาก็ยังใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตจากเอเชียอยู่ เห็นชัดๆ ก็ Apple ที่ชิ้นส่วน iPhone แทบทั้งหมดมาจากเอเชีย การที่ทรัมป์จะบังคับให้บริษัทเหล่านี้หันมาผลิตและประกอบอุปกรณ์ไฮเทคภายในประเทศแทน จะมีปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน ทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมหาศาล และปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้านการผลิตภายในประเทศ บีบบังคับส่งผลให้ราคาสินค้าต่อเครื่องเพิ่มสูงขึ้นไปอีก และอาจผลิตไม่ทันความต้องการของตลาด ลดขีดความสามารถในการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์จากเอเชีย (โดยเฉพาะจีน) ที่มีกำลังผลิตมหาศาล และนับวันๆ ยิ่งเก่งขึ้นๆ
...
น่าสนใจมากค่ะ ว่าทั่วโลกจะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของมหาอำนาจอย่างอเมริกาครั้งนี้อย่างไร ใครเห็นโอกาสก่อน กระโดดมาเล่นในสนามก่อน ลงมือทำก่อน เฟื่องว่าเป็น “โอกาสทอง” ที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากค่ะ
เจอกันสัปดาห์หน้าค่ะ
มาเป็นเพื่อนกันในโซเชียลได้ที่นี่