ไอทรูมาร์ท เตรียมงบ 5,300 ล้านบาท ปักธงลุยอี-คอมเมิร์ซไทยและอีก 7 ประเทศในเออีซี ตั้งเป้าเป็นบริษัทสัญชาติไทยที่เติบโตในระดับภูมิภาค...

นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท แอสเซนต์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ให้บริการเว็บไซต์ไอทรูมาร์ท (iTrueMart.com) เปิดเผยว่า หลังจากเปิดให้บริการเว็บไซต์ไอทรูมาร์ทในฐานะห้างสรรพสินค้าออนไลน์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดการสั่งซื้อสินค้าเฉลี่ย 7,000 ออเดอร์ต่อวัน ขณะที่เว็บไซต์วีเลิฟช้อปปิ้ง (weloveshopping.com) พื้นที่สำหรับการค้าขายออนไลน์นั้น มียอดการสั่งซื้อสินค้าเฉลี่ย 7,000 ออเดอร์ต่อวัน ทำให้บริษัทมียอดการสั่งซื้อสินค้าผ่านบริการออนไลน์กว่า 14,000 ออเดอร์ต่อวัน ถือเป็นผู้นำในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ (อี-คอมเมิร์ซ) อันดับ 1 ของประเทศไทย

"ปัจจุบันตลาดบีทูซี อีคอมเมิร์ซ ในประเทศไทยมีมูลค่าราว 42,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 20% อย่างไรก็ตาม บริษัทเล็งเห็นโอกาสในธุรกิจดังกล่าว และเชื่อว่ายังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทั้งประเทศไทยและในเออีซี โดยปัจจุบันในเออีซีมีมูลค่าของธุรกิจดังกล่าวถึง 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 170,000 ล้านบาท) ซึ่งไทยและอินโดนีเซียถือเป็น 2 ประเทศในอาเซียนที่มีมูลค่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ภายในสิ้นปีนี้บริษัทเตรียมขยายธุรกิจไปยังฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีจำนวนประชากรมากและยังไม่ค่อยมีผู้ให้บริการในลักษณะเดียวกันนี้ และภายในปี 2559 บริษัทวางแผนขยายบริการไปสู่ประเทศต่างๆ ในเออีซี อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ พม่า กัมพูชา มาเลเซีย โดยเตรียมงบประมาณสำหรับลงทุนและขยายธุรกิจเอาไว้ที่ 5,300 ล้านบาท"

นายปุณณมาศ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำตลาดอี-คอมเมิร์ซของอาเซียนภายใน 3 ปีจากนี้ อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทมีรายได้จากไอทรูมาร์ทประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งหมวดหมู่สมาร์ทโฟนและแก็ดเจ็ตถือเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้กว่า 70% โดยคาดว่าในปี 2559 บริษัทจะมีรายได้ราว 6,000 ล้านบาทจากธุรกิจดังกล่าว ส่วนเว็บวีเลิฟช้อปปิ้ง สามารถมูลค่าการซื้อขายได้กว่า 4,000 ล้านบาท แม้บริษัทจะมีรายได้ประมาณ 10 ล้านบาท จาก แต่คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าเท่าตัวภายในปีหน้า

"อัตราการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง หากเปรียบเทียบระหว่างการซื้อสินค้าออนไลน์กับการซื้อสินค้าปลีก จะมีสัดส่วนเพียง 1% อี-คอมเมิร์ซในไทยจึงยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องและก้าวกระโดด"

นายสืบสกล สกลสัตยาทร ผู้จัดการทั่วไป หน่วยงาน iTrueMart.com บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันไอทรูมาร์ทมีแบรนด์สินค้ากว่า 700 ยี่ห้อ สินค้ากว่า 20,000 รายการ และมีสินค้าจัดเก็บในคลังสินค้ากว่า 1 ล้านชิ้น โดยบริษัทใช้กลยุทธ์ 3 ด้านในการดำเนินธุรกิจ คือ การสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในการใช้บริการ ความสะดวกในการชำระเงินสดปลายทาง และความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า ซึ่งขณะนี้สามารถจัดส่งได้ภายใน 1 วันสำหรับลูกค้าในกรุงเทพฯ และ 2 วันสำหรับลูกค้าในต่างจังหวัด ส่วนช่องทางการชำระค่าสินค้านั้น ปัจจุบันสามารถชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ตู้เอทีเอ็ม ธนาคาร บัตรเครดิต หรือจ่ายเงินสดปลายทาง

สำหรับลูกค้าของไอทรูมาร์ท คือ กลุ่มนักศึกษาและวัยทำงาน อายุ 24-34 ปี ขณะที่ยอดขายสินค้าแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40% เนื่องจากบริษัทเพิ่งเริ่มทำตลาดต่างจังหวัดและคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% ได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม จากสถิติการเข้าใช้งานเว็บไอทรูมาร์ทในปัจจุบัน พบว่า 70% เป็นการใช้งานผ่านอุปกรณ์โมบายล์ ซึ่งสัดส่วนการซื้อสินค้าเมื่อเทียบกับจำนวนการเข้าชมเว็บไอทรูมาร์ท อยู่ที่ 4.20% สูงกว่าอัตราการซื้อในภาพรวมของอุตสาหกรรมซื้อขายออนไลน์ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 2%

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย มาจากเรื่องช่องทางการชำระเงินและการขนส่ง ซึ่งจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการลงทุนค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กไม่สามารถแข่งขันกับผู้ให้บริการรายใหญ่ได้ ขณะเดียวกัน อาจทำให้ผู้บริโภคไม่มีความมั่นใจในการสั่งซื้อสินค้าด้วย

ทั้งนี้ ไอทรูมาร์ท ได้เปิดตัวหมวดหมู่สินค้าใหม่ คือ แม่และเด็ก เพิ่มเติมจากหมวดหมู่ที่อยู่เดิม อาทิ กล้อง, โมบายล์และแท็บเล็ต,​ แก็ดเจ็ต, สุขภาพและความงาม, เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พร้อมกับจัดโปรโมชั่น ลดราคา 30% ทุกชิ้น สำหรับสินค้าในหมวดแม่และเด็ก ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พ.ย.2558 เพียงใส่โค้ด BABY30 นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมแชร์ภาพในเพจ Mom Wow เพื่อรับส่วนลดสำหรับซื้อสินค้า มูลค่า 200 บาท สำหรับผู้โชคดี 500 คนแรกอีกด้วย.

...