เมื่อพูดถึงบริษัทไอทีชื่อดังในต่างประเทศที่เป็นข่าวบ่อยๆ ในช่วงหลัง คงหนีไม่พ้นกูเกิล แอปเปิล ไมโครซอฟท์ ซัมซุง โนเกีย เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม วนไปวนมาอยู่แถวๆ นี้
คุณผู้อ่านเบื่อกันบ้างไหมครับ?
ผมเป็นคนเขียนยังเบื่อเลยครับ
ในคอลัมน์ตอนนี้ผมจึงตั้งโจทย์ว่าจะไม่เขียนถึงบริษัทชื่อดังเหล่านี้ชั่วคราว แต่จะเล่าเรื่องของบริษัทที่ไม่ดังเท่ารายใหญ่ข้างต้น แต่กำลังมาแรงและน่าจะกลายเป็นบริษัทใหญ่ได้ในอนาคต
บริษัทแรกที่จะหยิบยกมาเล่าในคราวนี้คือ Evernote บริการ “จดโน้ต” ออนไลน์ชื่อดัง
แนวคิดของ Evernote เรียบง่ายและตรงไปตรงมามาก วัตถุประสงค์ของบริษัทต้องการช่วยลูกค้า “จดโน้ต” เท่านั้นแหละครับ อะไรก็ได้ที่เป็นโน้ตหรือสิ่งที่ต้องจำ Evernote พร้อมอำนวยความสะดวกให้เราเอง
ผมเชื่อว่าแทบทุกคนคงเคยพกสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ เอาไว้จดบันทึกสิ่งสำคัญหรือสิ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวัน แต่การพกสมุดโน้ตนั้นไม่สะดวกตรงที่เวลาเรา “ลืมสมุด” ไว้ที่บ้านหรือที่ทำงาน การจดโน้ตย่อมไม่ต่อเนื่อง ต่อให้เปลี่ยนเป็นจดลงกระดาษเปล่าชั่วคราว ก็จะมีปัญหาในภายหลังว่าลืมกระดาษแผ่นนั้นไว้ตรงไหนก็ไม่รู้อีก
Evernote เข้ามาแก้ปัญหานี้โดยเก็บโน้ตของเราไว้บนอินเทอร์เน็ต เข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา คนที่มีแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนหลายเครื่อง ใช้งานแต่ละเครื่องไม่พร้อมกัน ก็สามารถเปิดโน้ตของตัวเองมาดูได้เสมอ (แน่นอนว่าไม่มีเน็ตก็ยังสามารถดูโน้ตเก่าๆ ได้ เพราะข้อมูลจะซิงก์ให้เหมือนกันตลอดเวลาเมื่อใดที่กลับมาต่อเน็ตอีกครั้ง)
แต่เท่านั้นยังไม่พอครับ เดิมทีการจดโน้ตของเราคือการเขียนตัวหนังสือหรือภาพลงในสมุด แต่ Evernote ไปไกลกว่านั้น อะไรก็ได้ที่เป็น “ข้อมูล” สามารถบันทึกลง Evernote ได้หมด เราจะพิมพ์ข้อความลงไปก็ได้ ถ่ายรูปก็ได้ อัดเสียงก็ได้ หรือถ้ามือถือ-แท็บเล็ตมีปากกา วาดเป็นรูปหรือเขียนข้อความลงไปแล้ว Evernote ช่วยแปลงเป็น text ให้ด้วย (ถ้าเป็นภาษาอังกฤษนะครับ) เรียกว่าข้อมูลที่ต้องจดหรือจำมาทางไหนก็ตาม Evernote รับได้ทุกกระบวนท่า
สโลแกนของบริษัทเรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก “Remember Everything” จดจำทุกสิ่งอย่าง เพราะ Evernote ตั้งใจเป็น “สมองอันที่สอง” ให้กับพวกเรา
ปัจจุบัน Evernote มีผู้ใช้งาน 25 ล้านคนทั่วโลก มูลค่าหุ้นของบริษัทตอนนี้ทะลุหลัก 1 พันล้านดอลลาร์เรียบร้อยแล้ว บริษัทวางแผนว่าจะเข้าขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สักปี 2015 หรือ 2016 ซึ่งก็ไม่ต้องรีบเพราะมีเงินเหลือเฟือ
Evernote ทำเงินโดยวิธีที่เรียกว่า Freemium (มาจากคำว่า free + premium) เปิดให้คนทั่วไปใช้งานได้ฟรี แต่ถ้าอยากได้ความสามารถเพิ่มขึ้นต้องจ่ายเงินเดือนละ 150 บาทหรือปีละ 1,350 บาท
Evernote ใช้วิธีจำกัด “ปริมาณข้อมูล” ที่ใช้งานต่อเดือนในรุ่นฟรี ถ้ามีโน้ตไม่เยอะนัก ตรงนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่พอโน้ตเริ่มเยอะ ผู้ใช้เริ่มติด ก็ได้เวลาเสียเงินซื้อบริการรุ่นพรีเมียมสักที ข้อมูลล่าสุดบอกว่า Evernote มีลูกค้าแบบพรีเมียมประมาณ 1 ล้านคนทุกเดือน ลองคูณเลขกลับดู เดือนนึงมีรายได้ประมาณ 150 ล้านบาท (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย) ถือว่าไม่น้อยเลยนะครับ
ตัวบริษัท Evernote เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังเมื่อปี 2007 โดยตำนานการถือกำเนิดของ Evernote อาจไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับตำนานของแอปเปิล ไมโครซอฟท์ กูเกิล หรือเฟซบุ๊ก เพราะผู้ก่อตั้งบริษัทสองคนมีอายุพอสมควร ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วเพราะเปิดกันมาหลายบริษัทและขายกิจการได้ทั้งหมด
ความน่าสนใจคือผู้ก่อตั้ง Evernote ไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อนเหมือนตำนานบริษัทไอทีอื่นๆ แต่มาร่วมงานกันภายหลังเพราะแนวคิดทางธุรกิจตรงกัน ไอเดียคล้ายกันโดยบังเอิญ นักลงทุนเลยจับมารวมเป็นทีมเดียวกันเสียเลย (แถมเวิร์กเสียด้วย!)
ผู้ก่อตั้งคนแรกชื่อ Stepan Pachikov เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียครับ คนนี้เชี่ยวชาญเรื่องซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อความที่เขียนด้วยมือ เคยร่วมพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านลายมือให้แอปเปิลเมื่อครั้งอดีตกาล และตอนหลังก็มาเปิดบริษัทซฮฟต์แวร์ด้านลายมือของตัวเอง เทคโนโลยีของเขากลายมาเป็นส่วนสำคัญของ Evernote แถมเขายังเป็นเจ้าของไอเดียการสร้างบริการจดโน้ตด้วย
ผู้ก่อตั้งอีกคนที่เป็นซีอีโอของบริษัทด้วยชื่อ Phil Libin คนนี้เป็นชาวอเมริกันแต่ก็เป็นลูกหลานของคนรัสเซียอีกเหมือนกัน เขาก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์มาแล้ว 2 บริษัทและขายกิจการจนร่ำรวยมาสองรอบ รอบนี้เขาบอกว่าเบื่อแล้วกับการทำซอฟต์แวร์ใหญ่โตให้ลูกค้าองค์กร-รัฐบาล แต่อยากทำซอฟต์แวร์เจาะกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ตัวเขาเองก็อยากเป็นผู้ใช้เองด้วย ไอเดียของเขาคือการจดโน้ตครอบจักรวาล พอมาเจอกับ Stepan Pachikov ก็เลยมาร่วมทีมกันเป็นบริษัทเดียว
ผมตามอ่านข้อมูลของ Evernote พบว่ามีประเด็นน่าสนใจหลายอย่าง ที่น่าสนใจที่สุดคือบริษัทนี้ไม่เคยจ่ายเงินค่าโฆษณาใดๆ แต่ใช้วิธีผู้ใช้บอกกันปากต่อปากเท่านั้น
แทนที่จะเอาเงินไปซื้อโฆษณา Evernote กลับลงทุนในเรื่องของ “แอพ” ที่ใช้จดโน้ตเป็นอย่างมาก โดย Evernote มีแอพบนอุปกรณ์ดังๆ แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นแอนดรอยด์ ไอโฟน ไอแพด วินโดวส์โฟน บีบี แมค วินโดวส์ ก็ใช้ Evernote ได้ทั้งหมด หรือถ้าไปยืมเครื่องคอมพิวเตอร์คนอื่นใช้งานก็ล็อกอินใช้ Evernote ผ่านเว็บได้ด้วย
เมื่อลูกค้าใช้ Evernote ได้จากทุกที่ จดโน้ตได้สะดวกสบายทุกเวลา ลูกค้าก็ยิ่งติด ยิ่งใช้ เมื่อข้อมูลอยู่ในระบบของ Evernote มากเข้า ลูกค้าก็เริ่มต้องการจ่ายเงินเพื่อใช้งานความสามารถขั้นสูงมากขึ้น เรียกว่าวิน-วินทั้งบริษัทและลูกค้านั่นเองครับ
ความจริงจังเรื่องแอพของ Evernote ถือเป็นยุทธศาสตร์ของบริษัทเลยนะครับ เมื่อใดที่มีอุปกรณ์ออกใหม่ มือถือหรือแท็บเล็ตที่มีระบบแอพของตัวเอง ทีมงานของ Evernote จะเร่งทำงานกันหนักมากเพื่อให้มีแอพ Evernote เสร็จทันงานเปิดตัว เมื่อลูกค้าชุดแรกซื้ออุปกรณ์นั้นมาใช้งาน ช่วงที่แอพในระบบยังมีให้เลือกไม่เยอะ ย่อมทำให้แอพ Evernote โดดเด่นขึ้นมาทันที สื่อที่ทำข่าวของอุปกรณ์เหล่านี้ก็จะแนะนำให้คนมาใช้ Evernote กันเอง
Phil Libin เล่าว่าช่วงที่เขาเริ่มทำบริษัทในปี 2007 กระแสโซเชียลมาแรงมาก ทุกคนอยากทำโซเชียล ทำให้เขาขอเงินจากนักลงทุนไม่ได้เลยสักแดงเดียว แต่เขาก็มุ่งมั่นเดินหน้าตามไอเดียของตัวเองต่อไป และเมื่อกระแสโซเชียลซาลง ก็กลับกลายเป็นว่าแอพจดโน้ตง่ายๆ แต่มีประโยชน์ของเขาที่อยู่รอดได้ แถมนักลงทุนต่างเทียวไล้เทียวขื่อติดต่อมาขอลงทุนแบบหัวกระไดไม่แห้งด้วยซ้ำ
เรื่องราวเหล่านี้ถือเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า “ตัวจริง” เท่านั้นที่จะอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ ถ้าใครยังไม่เคยใช้ Evernote ก็ลองดูก่อนได้ไม่เสียหลาย มันอาจช่วยให้ชีวิตของเราเป็นระเบียบมากขึ้นครับ
...
มาร์ค Blognone