นักวิเคราะห์ชื่อดัง เชื่อโรงงานผลิตไอโฟนให้กับแอปเปิลในประเทศอินเดีย สามารถยกระดับศักยภาพการผลิตได้มากถึง 20-25 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า ส่วนปีนี้ไอโฟนที่ผลิตจากอินเดียคิดเป็น 12-14 เปอร์เซ็นต์ของการจัดส่งไอโฟนทั่วโลก
มิง-ชิ คูโอะ นักวิเคราะห์จาก TF International Securities เปิดเผยผ่านบล็อกบนเว็บไซต์มีเดียม (Medium) ระบุว่า การจัดส่ง iPhone 15 และรุ่นที่ใหม่กว่านั้นจากโรงงานในประเทศอินเดียในปีหน้าจะอยู่ที่ 20-25 เปอร์เซ็นต์ของยอดจัดส่งรวมทั่วโลก
การคาดการณ์ของมิง-ชิ คูโอะ สอดคล้องกับการประเมินก่อนหน้านี้ของเจพี มอร์แกน ซึ่งเชื่อว่า โรงงานผลิตไอโฟนให้กับแอปเปิลในประเทศอินเดียน่าจะมียอดจัดส่ง 25 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2025
ขณะที่การจัดส่ง iPhone 15 ในปี 2023 นี้ มิง-ชิ คูโอะ เชื่อว่าน่าจะมีตัวเลขการจัดส่งทั่วโลกราว 12-14 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสะท้อนความสำคัญของอินเดีย และตลาดเอเชียใต้
ในเวลานี้ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) รับหน้าที่ผลิตไอโฟนให้กับแอปเปิลในโรงงานประเทศอินเดียราว 75-80 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการเข้ามาของทาทา (Tata) ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตไอโฟน เวอร์ชัน เมด อิน อินเดีย
แน่นอนว่า อินเดียจะกลายเป็นตลาดสำคัญของแอปเปิลมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ซึ่งแอปเปิลจะได้รับประโยชน์ทั้งในแง่ของยอดขาย iPhone 15 และรุ่นอื่นๆ ในอนาคต ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ และน่าจะมีผลต่อการเติบโตของแอปเปิลในอีกหลายปีข้างหน้า รวมถึงแอปเปิลยังได้ลดการพึ่งพาจีนในการผลิตอุปกรณ์ของตัวเอง
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ประสบความสำเร็จในการชักจูงบริษัทใหญ่ๆ ให้มาลงทุนในประเทศอินเดียอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดก็คือกูเกิล ซึ่งตกลงจะผลิต Pixel Phone ที่ดินแดนภารตะเร็วๆ นี้
...
สุดท้ายมิง-ชิ คูโอะ เชื่อว่า โรงงานฟ็อกซ์คอนน์ ซึ่งรับหน้าที่ผลิตไอโฟนในประเทศจีน ได้แก่ โรงงานที่เจิ้งโจว และไท่หยวน จะลดลง 35 เปอร์เซ็นต์ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ และ 75 เปอร์เซ็นต์ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิเคราะห์จาก TF International Securities กล่าวในประเด็นสุดท้ายว่า แอปเปิลจะเริ่มการผลิต iPhone 17 รุ่นมาตรฐานในประเทศอินเดีย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของแอปเปิล ที่เริ่มต้นพัฒนาไอโฟนรุ่นใหม่นอกประเทศจีน ทั้งนี้การเลือกให้ผลิต iPhone 17 นั่นเป็นเพราะว่าไอโฟนรุ่นมาตรฐานนี้ไม่ได้มีการออกแบบที่สลับซับซ้อนมากนัก เมื่อเทียบกับ iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max
ที่มา: Ming-Chi Kuo (Medium)