เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า หรือ Face recognition เป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่มีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่จะคอยจดจำสิ่งต่างๆ และความสามารถของปัญญาประดิษฐ์อันเดียวกันนี้เองที่ทำให้การทำงานของระบบความปลอดภัยต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการตามหาบุคคลสูญหาย การจับกุมผู้กระทำความผิด และการป้องกันการก่ออาชญากรรม ขณะเดียวกันเองกระแสในเรื่องของความเป็นส่วนตัวได้เพิ่มขึ้นทั่วโลก บวกกับความเสี่ยงและช่องโหว่ของการทำงานของระบบ ถ้าหากนำไปใช้งานในทางที่ผิด จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ AI ของซอฟต์แวร์การติดตามใบหน้าถูกวิพากษ์วิจารณ์ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อะไรคือสิ่งที่ทำให้การรักษาความปลอดภัยโดยการใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ถึงควรค่าแก่การพิจารณา?
เมื่อพูดถึงการใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า สิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ต้องเข้าใจคือ เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถพัฒนาเพื่อนำไปใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย แต่เหตุผลหลักสองประการที่ผู้ใช้ควรคำนึงคือ:
- ต้องเข้าใจว่าการใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าจะเป็นการนำจดจำลักษณะทางกายภาพของใบหน้า หรือ biometric เพื่อรักษาความปลอดภัยของโทรศัพท์มือถือ อำนวยความสะดวกของการใช้จ่ายผ่านทางธนาคาร การดูแลรักษาความปลอดภัยของพื้นที่ครัวเรือนและอสังหาริมทรัพย์
- ระบบการติดตามและการระบุตัวตนของเทคโนโลยีการจดจำใบหน้ามีจุดประสงค์หลักในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของพลเมือง และมีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องวรจรปิด สัญญาณเตือนต่างๆ ตามสนามบิน ฯลฯ โดยปกติจะเป็นการติดตามเพื่อป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรม
การติดตั้งระบบการจดจำใบหน้าจะมีประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลวันต่อวัน ทำให้ได้ข้อมูลที่เข้าใจง่าย รวดเร็ว และทำให้คุณภาพชีวิตของเราเปลี่ยนไป โดยสรุปก็คือ เทคโนโลยีดังกล่าวง่ายและปลอดภัยต่อการเข้าไปในตัวอาคาร แต่ในเชิงของการเข้าช่วยเหลือผู้คน พลเมือง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ระบบดังกล่าวสามารถตั้งค่าได้ว่าผู้ที่จะเข้าไปในอาคาร จะเป็นแค่รถฉุกเฉินเพื่อให้มั่นใจได้ว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บจะเข้าถึงตัวอาคารเพื่อเข้ารับการรักษาได้เร็วที่สุด ยกตัวอย่างเช่น บริษัท NtechLab ผู้นำซอฟต์แวร์การจดจำใบหน้าและผู้ผลิตระบบการจดจำทางกายภาพ หรือ biometric ที่แม่นยำที่สุด จากการรายงานล่าสุดของ Biomatric Update ได้มีการแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีของบริษัทมีความสามารถในการจดจำสิ่งของ ไม่แพ้ไปกว่าความสามารถในการระบุตัวบุคคลด้วยใบหน้า
คำถามคือ เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าสามารถนำไปสู่การใช้งานที่ไม่ถูกต้องได้หรือไม่? เมื่อพูดถึงการใช้งานเทคโนโลยีที่ถือว่าเรามีการนำมาใช้งานเป็นเรื่องปกติ เช่น ระบบ GPS ไมโครโฟน ไมโครชิปในโทรศัพท์ รถยนต์ นาฬิกาอัจฉริยะ เหตุผลก็คือเรายอมรับเทคโลยีการจดจำใบหน้าได้ เนื่องจากเทคโนโลยีดังเป็นที่ยอมรับอย่างทั่วกัน จึงทำให้มีกฎหมายที่ควบคุม การที่เราจะสามารถใช้งานระบบได้ เราก็ต้องได้รับอนุญาตจากทางตำรวจ หรืออาจจะต้องมีเรื่องของใบอนุญาต แม้ว่าเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าจะการพัฒนาที่ถือว่าค่อนข้างใหม่ แต่ความกังวลในการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าว ก็อาจจะทำให้การพัฒนาการนวัตกรรมใหม่ๆ นั้นหยุดชะงัก หรือได้เรียกว่าเมื่อเราได้มีการปรับใช้ เทคโนโลยีก็จะให้ประโยชน์กับตัวเราด้วย ยกตัวอย่างรายงานสถิติจาก NtechLab ที่พบว่าเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า มีส่วนช่วยในคดีความต่างๆ เช่น สามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมกว่า 50,000 คดี สามารถค้นหาผู้สูญหายได้มากกว่า 5,000 คน สามารถตามหาภาพวาดมูลค่าหลายล้านเหรียญที่ขโมยได้ภายใน 24 ชั่วโมง และอัตราการลักขโมย หรือโจรกรรมรถยนต์ ก็ลดลงถึง 85% ทีมงาน NtechLab ยังได้กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของการใช้ซอฟต์แวร์การจดจำใบหน้าในร้านค้าด้วยอีกว่า ร้านค้าสามารถป้องกันการโจรกรรมสินค้าภายในร้านกว่า 100,000 คดี ถือได้ว่าทางการสามารถป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินได้ราวๆ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การนำซอฟต์แวร์ระบบการชำระเงินด้วยการจดจำใบหน้ามาใช้ในร้านค้าปลีกย่อย และ E-comerce ทำให้ร้านต่างๆ ได้รับประโยชน์ในด้านความปลอดภัยสูงมาก เพราะ Biometric มีประสิทธิภาพในการทำงานด้านความปลอดภัยได้สูงสุด นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ดังกล่าว ยังสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อศึกษากลุ่มเป้าหมายทางการตลาดได้ดีขึ้น เช่น การจำแนกอายุโดยเฉลี่ยของลูกค้า รวมไปถึงการจำแนกเพศเป็นจำนวนชายและหญิงที่เข้ามาใช้บริการภายในร้าน
“ระบบจดจำใบหน้าของ NtechLab ให้ความแม่นยำแทบจะสมบูรณ์แบบในสภาวะที่เหมาะสม โดยระบบจะมีความแม่นยำถึง 99.99% ที่ใช้ความเร็วในการตรวจจับเพียง 0.1 วินาที “อัลกอริธึมของซอฟต์แวร์นี้สามารถค้นหาใบหน้าและแสดงผลลัพธ์ที่แม่นยำสูง แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของอายุอย่างเห็นได้ชัด เครา หนวด แว่นตา หน้ากากทางการแพทย์ หรือการปกปิดใบหน้าบางส่วนด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม” กล่าวโดย Liana Meliksetyan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ NtechLab ในงาน Techsauce Global Summit 2022 ในประเทศไทย เทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานร่วมกับข้อมูลจากสตรีมวิดีโอแบบเรียลไทม์ หรือคลังภาพและวิดีโอที่มีขนาดใหญ่ รองรับการสตรีมวิดีโอและฐานข้อมูลใบหน้าได้ไม่จำกัดจำนวน
Alex Minin, CEO บริษัท NtechLab กล่าวกับ The Verge ไว้ว่า “เมื่อเราได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ครบครัน เราจะมีความรู้สึกว่าระบบดังกล่าว ไม่เพียงแต่ไม่เป็นภัยต่อผู้ใช้ แต่ยังมีความสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือทางตำรวจในการระบุตัวตนผู้ก่อการร้าย อาชญากร บุคคลที่ล่วงละเมิดทางเพศ โจรล้วงกระเป๋า ฯลฯ ในระยะเวลาที่ไม่ถึงนาที และระบุตำแหน่งจนสามารถเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แทนที่จะใช้ระยะเวลาเป็นวัน หรือสัปดาห์ และตัวซอฟต์แวร์เองก็ไม่ได้ละเมิดตัวบทกฎหมายหรือกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้อีกด้วย