เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ปฏิบัติการพิเศษทางการทหารของรัฐบาลรัสเซีย ได้รุกรานอธิปไตยประเทศยูเครน
อย่างที่เราทราบการกระทำดังกล่าวได้ส่งผลในด้านลบทุกมิติต่อรัฐบาลรัสเซีย ไปจนถึงประชากรผู้ถือพาสปอร์ตรัสเซียทุกคน
ประเด็นสำคัญที่จะพูดถึงในบทความนี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ปัญหาแรงงานที่มีความสามารถแห่ย้ายไปทำงานในต่างแดน ซึ่งต่างแดนที่ว่านี้มีตั้งแต่บริเวณประเทศเพื่อนบ้านอย่างจอร์เจีย, ลัตเวีย และตุรกี รวมถึงแรงงานที่ตั้งเป้าที่จะย้ายไปทำงานในประเทศใหญ่อย่างเยอรมนี และสหราชอาณาจักร
ทำไมชาวรัสเซียต้องอพยพไม่ต่างจากผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกรุกรานโดยรัสเซียของชาวยูเครน เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ลองจินตนาการนะครับว่า วันดีคืนดีที่จู่ๆ สกุลเงินรูเบิลก็ตกในสถานะพังทลาย ธนาคารแต่ละแห่งในรัสเซียมีลูกค้ายืนต่อคิวสุดลูกหูลูกตาจนหาปลายแถวไม่เจอ เพราะต้องการเปลี่ยนไปถือเงินดอลลาร์
แต่ก็เจอตอเพราะรัฐบาลตั้งเพดานค่าธรรมเนียมที่สูงปรี๊ด และเข้ามาสกัดการเข้าถึงสกุลเงินต่างประเทศ การโอนเงินระหว่างประเทศไม่สามารถทำได้อีกด้วย
ในส่วนนักลงทุนจากต่างแดนที่เข้ามาลงทุนในรัสเซีย ด้วยเหตุผลที่ว่า นักพัฒนา (Developer) ชาวรัสเซีย นับได้ว่าเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ค่าแรงถูก รวมถึงการมีพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ที่ดี ทว่าด้วยเงื่อนไขในตอนนี้ของประเทศรัสเซีย การจะกล่าวว่า รัสเซียเป็นประเทศที่ไม่แน่นอนคงไม่ใช่ครับ เราต้องกล่าวว่า เป็นประเทศที่มีแต่ฝุ่นขมุกขมัว นักลงทุนคงไม่เลือกที่จะเสี่ยงลงทุนในรัสเซียต่อ
...
ขณะที่ ผู้ทำงานอิสระ (แต่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอยู่บ้าง) เช่น อาชีพสตรีมเมอร์ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มทวิตช์ (Twitch) หรือยูทูบ ก็อยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะพวกเขาไม่สามารถทำรายได้เหมือนอย่างเคย นั่นเป็นเพราะว่า ทวิตช์เป็นแพลตฟอร์มในเครือของแอมะซอน ซึ่งมีแนวทางคว่ำบาตรอย่างเข้มข้นต่อรัสเซีย ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่อาจจ่ายเงินให้กับสตรีมเมอร์จากประเทศที่ถูกคว่ำบาตรได้
รายงานของ eMarketer ระบุว่า แรงงานด้านไอทีที่อพยพไปทำงานที่ประเทศอื่นๆ จนถึงตอนนี้มีจำนวนหลายพันคน
อันที่จริงควรกล่าวด้วยว่า แรงงานที่มีฝีมือ และมีทักษะการทำงานสูง ก็คงไม่ได้อยากอยู่ในประเทศที่มีการจำกัดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ซ้ำร้ายยังมีระบอบการเมืองแบบเผด็จการอีกต่างหาก ซึ่งการเข้าไปรุกรานอธิปไตยของยูเครน ยิ่งเป็นการจุดชนวนให้ผู้คนเริ่มไม่อยากอยู่ในประเทศ กลายเป็นเหตุการณ์สมองไหลครั้งใหญ่ของรัสเซียก็คงไม่ผิดนัก
ผลกระทบของเรื่องนี้เป็นที่ชัดเจนว่า ชาวรัสเซียที่อยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ต้องการพึ่งพิงบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาและยุโรป อีกทั้งการที่ไม่มีบริษัทจากชาติตะวันตกเหล่านี้ ยิ่งส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลกอยู่ก่อนแล้ว เป็นอันต้องหยุดชะงัก พร้อมกับถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจ
ด้วยเหตุข้างต้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก หากทุกคนจะเกิดความรู้สึกไม่แน่นอนต่อการใช้ชีวิต และถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่พวกเขาจะต้องย้ายออกจากบ้านเกิดเมืองนอน
อย่างไรก็ดี เมื่อชาวรัสเซียออกนอกประเทศได้สำเร็จ สถานะของชาวรัสเซียก็ไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกับผู้ลี้ภัยชาวยูเครน ดังนั้นแล้วประเทศปลายทางที่จะกลายเป็นจุดหมายของชาวรัสเซีย ต้องเป็นประเทศที่อนุญาตให้ใช้พำนักได้เป็นเวลานานๆ
เท่านั้นไม่พอ เมื่อเดินทางไปถึงประเทศปลายทางแล้ว พวกเขาต้องโดนตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินอย่างเข้มงวด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เข้าประเทศมาเพื่อทำกิจกรรมบางอย่างที่ผิดกฎหมาย และการหลบเลี่ยงจากการถูกคว่ำบาตร
...
นอกจากนี้ ชาวรัสเซียจำนวนมากคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกเลือกปฏิบัติ โดยไม่ได้คำนึงว่าชาวรัสเซียคนนั้นไม่ได้เห็นด้วยกับ “ปฏิบัติการทางทหาร” ของรัฐบาลรัสเซีย
บทสรุปของเรื่องนี้สามารถกล่าวได้ว่า การใช้กำลังทางการทหารของรัฐบาลรัสเซียไม่ได้สูญเสียเฉพาะชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหน้าที่การงาน และวิถีชีวิตของพลเมืองประเทศตัวเองอีกด้วย.
อ้างอิง: eMarketer, Estonian World, The Hill, Business Insider, Sifted