แม่ช้ำใจ โพสต์ระบายความอัดอั้น หลังพาลูกชายย้ายเข้าโรงเรียน แต่เจอครูบังคับบริจาคเงินสร้างโดม เผย ได้คุยกับผอ. แล้ว แต่ตัดสินใจพาลูกไปเรียนที่อื่น

กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ระบายความอัดอั้นตันใจลงกลุ่มขอนแก่น หลังจากที่พาลูกไปทำเรื่องย้ายโรงเรียน แต่ทางคุณครูให้บริจาคเงินเพื่อสร้างโดม ซึ่งตัวเธอนั้นมีเงินติดตัวอยู่แค่ 500 บาท จึงขอบริจาคไป 300 แต่ทางครูไม่พอใจให้เหตุผลว่า ผู้ปกครองคนอื่นบริจาคขั้นต่ำ 3000-5000 บาท เธอจึงขอผ่อนผันจ่ายวันหลัง แต่ทางครูกลับให้คำตอบว่าไม่ได้ ต้องจ่ายภายในวันนั้น พร้อมเสนอทางออกว่า หากมีเงินบริจาคพร้อม ค่อยพาลูกมาเข้าเรียน

หลังจากเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก ต่อมาทำให้เจ้าของโพสต์ได้มีการชี้แจงว่า ไม่ได้มีเจตนาทำให้โรงเรียนเสียหาย แค่โพสต์เตือนผู้ปกครองเท่านั้น และบอกอีกว่า เธอก็ได้พูดคุยกับ ผอ.โรงเรียนแล้ว แต่ก็ไม่สนิทใจที่จะให้ลูกเรียนที่นั่น จึงมาติดต่อย้ายไปโรงเรียนแห่งใหม่แล้ว พร้อมขอบคุณคนที่ห่วงใย

ล่าสุดวันที่ 5 พ.ย. 67 ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนางสาวเอ (นามสมมุติ) ผู้โพสต์ เปิดเผยว่า ตนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำงานหาเงินเลี้ยงลูกชายเพียงลำพัง ทำงานเป็นหางเครื่อง จึงทำงานไม่เป็นเวลา ลูกชายเคยเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้มาจนถึง ม.1 แต่ตนไม่มีเวลาดูแลลูก บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ จึงต้องการย้ายลูกไปอยู่โรงเรียนประจำที่มีครูดูแลในโรงเรียน ซึ่งที่ผ่านมาลูกชายเป็นนักเรียนที่เรียนดีมาตลอด

ขณะเรียนที่โรงเรียนดังกล่าว ได้เกรดเฉลี่ย 3.44 จากนั้นย้ายไปเรียน ม.1 ที่โรงเรียนประจำ จนถึง ม.2 เทอมแรก ก็เรียนได้เกรดเฉลี่ย 3.66 ขณะนี้พอมีเงินซื้อบ้านให้ลูกอยู่ จึงต้องการย้ายลูกมาเรียนที่โรงเรียนเดิม จึงเข้าไปพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อพาลูกเข้ามาเรียน ม.2 ในเทอมที่ 2 ผอ.โรงเรียนบอกว่า ให้นำใบรับรองผลการเรียนจากโรงเรียนเดิมมาให้ แล้วพาลูกมาเรียนได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

...

วันจันทร์ที่ 4 พ.ย. 67 ตนพาลูกไปที่โรงเรียนดังกล่าว เพื่อนำส่งใบรับรองผลการเรียนให้ ผอ.โรงเรียน แต่ ผอ.ไม่อยู่ จึงนั่งรอประมาณ 3-4 ชั่วโมง ก็มีคุณครูมาแจ้งให้ไปนั่งรอที่ห้องพักใกล้ๆ กับห้องธุรการ จากนั้นมีครูผู้ชายเข้ามาพูดคุยด้วย และบอกว่านำลูกมาเข้าเรียน ต้องบริจาคเงินช่วยโรงเรียน เพื่อสมทบสร้างโดมของโรงเรียนด้วย

จึงแจ้งว่า มีเงินติดตัว 500 บาท จะขอบริจาค 300 บาท ครูผู้ชายแสดงสีหน้าที่ดูเหมือนไม่ประทับใจ พร้อมกับพูดว่า ผู้ปกครองนักเรียนรายอื่นๆ บริจาคคนละ 3,000-5,000 บาท จึงได้บอกครูไปว่า ขอเวลาทำงานเก็บเงินก่อน ไม่เกินวันที่ 15 พ.ย. น่าจะมีเงินมาบริจาคให้ 2,000 บาท ครูรายดังกล่าวจึงให้เซ็นเอกสารยืนยันการบริจาค พร้อมกับบอกว่า เมื่อมีเงินครบ 2,000 บาท มาบริจาค ค่อยพาลูกมาเข้าเรียน

นางสาวเอกล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวก็พอจะทราบว่า การบริจาคเงินช่วยสร้างสิ่งต่างๆ ในโรงเรียนนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่ผู้ปกครองนักเรียนยินดีที่จะร่วมสมทบในการก่อสร้าง แต่การสมทบ หรือบริจาคก็ตามกำลังศรัทธา ไม่ใช่การบังคับเหมือนที่ตนเจอ ตนจึงอาการเครียด เพราะโรงเรียนเปิดเทอมมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ เกรงว่าลูกจะเรียนไม่ทันเพื่อน เมื่อพาลูกมาเรียนก็ไม่สามารถเข้าเรียนได้ เพราะไม่มีเงินบริจาค จึงได้พาลูกกลับบ้าน สงสารลูก สงสารตัวเองที่ไม่มีเงินบริจาคจนลูกไม่ได้เรียน เมื่อกลับถึงบ้านจึงตั้งสติ พาลูกไปสมัครเรียนที่โรงเรียนแห่งใหม่ ซึ่งทาง ผอ. และคณะครูก็รับลูกชายเข้าเรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และในวันที่ 6 พ.ย. 2567 ลูกชายก็จะได้เข้าเรียนเป็นวันแรก

ต่อมา โรงเรียนที่เกิดเรื่องได้เรียกไปพบ และพูดคุยทำความเข้าใจกันที่โรงเรียน จึงเข้าไปคุยด้วย จากการพูดคุย ผอ. ยังยืนยันว่า สามารถนำลูกมาเข้าเรียนได้ ไม่มีปัญหาและไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็มีครูบางคนบอกว่า ถ้าให้ลูกชายเข้าเรียน ต้องบอกลูกชายให้รับแรงกดดันจากเพื่อน จากครูผู้สอนให้ได้ด้วย เพราะเกิดปัญหาแล้ว มันจะมีแรงกดดันตามมา

จึงตัดสินใจไม่ให้ลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนดังกล่าว พาลูกไปสมัครเรียนที่อื่น ทำให้ลูกชายมีที่เรียนเป็นที่เรียบร้อย อยากฝากถึงผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาว่า การที่โรงเรียนจะสร้างสิ่งใด รับบริจาคเงินมาทำอะไรนั้น ควรจะมีการแจ้งการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองนักเรียนทราบด้วย ไม่ใช่มัดมือชก หรือบังคับบริจาคแบบที่ตนเจอ

ขณะที่น้องบี (นามสมมุติ) กล่าวว่า อยู่ในเหตุการณ์ที่ครูพูดคุยกับแม่ตลอด จึงรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าเรียน เพราะตั้งใจไว้ว่าอยากเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เพราะเคยเรียนมาแล้ว แต่ไม่ได้เรียนเพราะไม่ได้บริจาคเงินตามที่ครูต้องการ กระทั่งแม่พาไปสมัครเรียนที่โรงเรียนอื่น และโรงเรียนก็รับเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะตั้งใจเรียนให้จบและจะเรียนต่อจนได้เป็นครูตามที่ฝันไว้

ในขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้พยายามประสานกับทางโรงเรียนและทางเทศบาลนครขอนแก่น เพื่อให้ชี้แจงในกรณีดังกล่าว แต่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของเทศบาลนครขอนแก่นว่า ผอ.โรงเรียนได้พูดคุยทำความเข้าใจกับผู้ปกครองแล้ว จึงไม่สะดวกจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เพราะเกรงจะทำให้นักเรียนเสียหาย และอยู่ในระหว่างที่คณะผู้บริหารเทศบาลนครขอนแก่นกำลังหารือกันในการที่จะชี้แจงในกรณีดังกล่าว โดยยืนยันว่า เทศบาลนครขอนแก่นไม่ได้นิ่งนอนใจ ผู้บริหารสถานศึกษาจะสอบสวนข้อเท็จจริงและจะทำหนังสือชี้แจงต่อพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนให้ทราบโดยเร็ว