ทนายอนันต์ชัย เทียบคดี ป้าทุบรถ กับยายเกียร์อาร์ ถอยชนป้าวัย 67 ปี จอดรถริมรั้วบาดเจ็บ ขณะที่คุณยายยืนยันเป็นอุบัติเหตุ ขับรถมา 16 ปี ไม่เคยชน

จากกรณีโลกโซเชียลมีการแชร์คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าบ้านหลังหนึ่ง ย่านตลิ่งชัน เมื่อคุณยายวัย 77 ปี ขับรถเข้าเกียร์ R ถอยหลังชนอัดคู่กรณีที่กำลังเปิดประตูขึ้นรถจนเจ็บหนัก เหตุเพราะจอดขวางประตูหน้าบ้าน โดยคุณป้าอ้างว่า ไม่รู้ว่ามีคนเจ็บ แต่มีคนมาบอกว่ารถเราไปชนรถที่วิ่งมาทางตรง ไปกระเด็นโดนเขา ขณะที่กำลังจะขึ้นรถ และเขาก็บอกว่าเราผิด 100% ซึ่งจริงๆ แล้วสาเหตุที่เราผิด เพราะเราตีโค้งไม่พ้นรั้วเรา และมันเป็นอุบัติเหตุ 

ขณะที่ลูกสาวคนเจ็บร้องขอความเป็นธรรม โดยอ้างว่าตั้งแต่เกิดเรื่อง เข้าโรงพยาบาล คู่กรณีไม่เคยติดต่อมาเพื่อสอบถามอาการ หรือขอโทษ ซึ่งตนมองว่าถ้าเขาจะอ้างประมาท ทำขนาดนี้ ก็คงเป็นอันตรายต่อคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย

ทั้งนี้ ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ ได้มีการพูดคุยกับ คุณธนิตา คุณวัฒน์ หรือ ฮาย ลูกสาวผู้บาดเจ็บ, ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช และ คุณต้อย ประธานมูลนิธิวินวิน

จากการสอบถาม คุณธนิตา ทราบว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงประมาณ 10.30 น. ของวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ตอนนี้คุณแม่ดีขึ้นแล้ว ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน แต่ยังมีอาการเจ็บที่ขา ซึ่งทำให้เดินไม่สะดวก และยังต้องติดตามอาการจากศีรษะที่กระแทก รวมถึงยังต้องไปล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวันด้วย 

ส่วนภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพจากวงจรปิดหน้าบ้าน ที่คนในบ้านเขาเอาออกมาให้เราดูว่า เป็นเพราะรถคุณแม่จอดขวางหน้าบ้าน ทำให้เขาเข้าไม่ได้ และต้องถอย ซึ่งคุณแม่เองเดินลงไปซื้อข้าวที่ร้านฝั่งตรงข้าม ส่วนในรถมีน้องชายอยู่ เผื่อว่าหากต้องขยับรถ น้องจะได้เรียกแม่ได้ ซึ่งตอนที่ตัวเองไปถึงนั้นก็พบว่าแม่อยู่บนรถพยาบาล ส่วนรถเขาก็อยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมีคนมาบอกว่าเขาต้องขยับรถก่อน เพราะแม่ตนโดนหนีบอยู่กับรถ 

...

ตอนนั้นตนก็ถามน้องผู้หญิงคนที่เอาคลิปออกมาให้ดูว่าใครเป็นคนขับ ก็มีคุณป้าเขาก็แสดงตัวว่าเป็นเขา และว่าก็มาจอดรถขวางหน้าประตู เขาเลี้ยวไม่พ้น ก็เลยต้องถอย เราก็ถามว่า แล้วการที่มีคนมาจอดรถขวางประตูต้องชนเลยเหรอ ทำไมไม่มาบอกที่รถ เพราะมีคนนั่งอยู่ เขาก็ไม่ตอบ และว่าโยนให้ประกันจัดการ พร้อมสั่งให้คนในบ้านไม่ต้องพูดอะไร

ลูกสาวผู้บาดเจ็บ
ลูกสาวผู้บาดเจ็บ

และจากการสอบถามคุณแม่ เขาก็ยืนยันว่าไม่ได้จอดรถขวางประตูบ้านเขาแน่นอน เพราะยังให้น้องลงมาดูตอนถอยรถ เพื่อไม่ให้ขวางทางเข้าออกบ้านอยู่เลย ทีนี้เราเลยสงสัยว่าในเมื่อเราไม่ได้ขวาง แล้วเขามาชนเราทำไม เราจึงไปหาวงจรปิดจากฝั่งตรงข้ามมา ซึ่งก็ภาพจากกล้องของ กทม.มา ซึ่งดูจากคลิปแล้วก็พบว่ามันไม่ได้ขวาง และพฤติกรรมหลายๆ อย่าง เราก็เริ่มเอะใจว่ามันแปลกๆ บังเอิญถอยเหรอ ประมาทเหรอ และถ้าเราขับรถเป็นจะเห็นว่าเลี้ยวครั้งแรกก็น่าจะพ้น หรือถ้าไม่พ้น การถอยก็ไม่ใช่แบบนี้ และเมื่อมีคนบอกว่าให้ถอยรถออกก่อนมีคนเจ็บ เขาก็ขับรถเข้าบ้านได้ปกติเลย

ส่วนที่เขามาพูดให้เราฟังว่า กรณีป้าทุบรถไม่ผิดนะ เพราะไปขวางหน้าบ้าน เขามาบอกเราตั้งแต่วันแรก เราก็ยังบอกว่าไม่เหมือนกัน อันนั้นเขาขวางแบบไม่มีทางให้เข้าออกเลย แต่เคสนี้เราบอกว่ามีคนอยู่ในรถนะ เขาสามารถไปเรียกได้ 

ซึ่งที่เราติดใจคือ ตอนนี้เรื่องอยู่ที่ สน.ตลิ่งชัน ตำรวจลงว่าประมาท และเขาจะให้ประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบ 

จากการสอบถาม คุณตุ๊กตา ผู้บาดเจ็บ ทราบว่ามันยังเจ็บ 2 ข้างหู กราม และตั้งแต่สะโพกลงไปถึงปลายเท้า ซึ่งหลังจากที่ตนซื้อของเสร็จก็ข้ามถนนกลับมาเพื่อจะขึ้นรถกลับ ตอนจะขึ้นรถ เราก็เห็นว่าเขาจอดอยู่หน้ารถเรา และประตูไฟฟ้ากำลังเลื่อนเปิดอยู่ เห็นอีกทีรถคันนี้ถอยหลังเร็วมา โค้งมาทางเราที่ยืนอยู่ตรงประตู วินาทีนั้นก็ได้ยินเสียงปัง ลืมตามาอีกที เรารู้สึกว่าศีรษะถูกหนีบตัวประตูกับคานรถ แล้วปวดมาก เราก็ร้องให้ดึงประตูรถออกไปที โดยไม่มีการบีบแตร ส่งสัญญาณให้ทราบอะไรทั้งนั้น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยากให้เขามารับผิดชอบอย่างไร คุณตุ๊กตา ระบุว่า ตอนนี้ให้ลูกสาวจัดการ เพราะเรายังเจ็บ ขากรรไกรก็อ้าได้ไม่มาก 

ส่วน คุณฮาย บอกว่า ตอนนี้เราสงสัยว่าอาจจะไม่ใช่แค่ประมาทหรือเปล่า จึงอยากทราบในข้อกฎหมาย ถ้าหากพบว่ามีเจตนา เราก็จะลุยเต็มที่ อย่างน้อยคุณแม่ก็จะไม่เจ็บฟรี เพราะคนปกติหากเราไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครเจ็บ อย่างน้อยก็ควรมาขอโทษ หรืออธิบาย แต่นี่เขาหายไปเลย โยนให้ประกันอย่างเดียว และตั้งแต่เกิดเรื่อง เขายังไม่เคยมาขอโทษเลยสักครั้ง

จากการสอบถาม นายดลชนก บุณโยทยาน รองประธานมูลนิธิวินวิน ซึ่งเข้ามาช่วยเหลือ ระบุว่า ความน่ากลัวของเคสนี้คือ รถมันจะกลายเป็นอาวุธ หากใครไม่พอใจใคร ซึ่งอันตรายมาก และหากดูจากพฤติการณ์ ถ้าคนขับรถเป็น เลี้ยวไม่พ้น จะหักกลับ ก็ไม่ใช่แบบนี้ มันต้องหมุนพวงมาลัยอีกทาง ซึ่งมันขัดกับความจริง 

ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช
ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช

ด้าน ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ซึ่งเคยทำคดีป้าทุบรถ เผยว่า กรณีป้าทุบรถ คือมีรถมาจอดขวางประตูหน้าบ้าน ซึ่งบริเวณนั้นเป็นตลาด และมีข้อพิพาทมากมาย จนไปขึ้นศาลปกครอง มีการขึ้นป้ายบอกกล่าว เพราะฉะนั้นคนที่ไปจอดรถก็ย่อมเห็น แต่คนที่ไปจอดรถไม่รับสารภาพ ศาลก็ตัดสินลงโทษเต็ม แต่รอลงอาญา เพราะอัตราโทษต่ำ 

ในส่วนของป้าทุบรถ แม้จะได้รับความกดดันจากคนที่มาจอดรถขวางเป็นประจำ และมีข้อพิพาทมากมาย แต่ศาลมองว่าไม่สามารถไปทุบ หรือทำร้ายใครได้ เพราะมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่ ศาลจึงพิพากษามีความผิด รอลงอาญา แต่สิ่งที่ป้าได้คือการพิสูจน์ให้ศาล และประชาชนเห็นว่าการที่ป้าไปทุบรถเกิดจากเครียดสะสม ซึ่งในการตัดสินลงโทษ ศาลลด 1 ใน 3 และลดอีก 

ซึ่งในคดีของป้า ป้าจะยอมรับผิดเลยก็ได้ แต่คนก็จะมองว่าป้าเป็นอันธพาล อีกกรณีคือ หากสู้ภาคเสธ ยอมรับว่าทุบจริง แต่จะทุบเพราะอะไร ซึ่งมันจะต่างกันเลย เพราะแบบนี้ จะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นอันธพาล เพราะเครียดที่โดนมาเยอะ 

ส่วนเคสล่าสุดนี้ หากดูจากภาพ เขาไม่ได้จอดขวางประตูบ้าน เหมือนเคสป้าทุบรถ เขาอยู่เลยไปนิดหนึ่ง และจอดในที่สาธารณะ ซึ่งสามารถจอดได้ และหากดูจากการที่เขาตีโค้ง เค้าสามารถเข้าบ้านได้นะ ดูจากการที่เขาตีโค้งกลับไปจนชนรถ และขณะที่ตีโค้งนั้น สังเกตว่าประตูเริ่มเปิดแล้ว แต่แบบนี้ถ้าจะบอกว่าตกใจก็ไม่ได้ เพราะรถเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอันตรายบนท้องถนนได้ จึงต้องมีสติสัมปัชชัญญะตลอดเวลา ความประมาท ณ เวลานี้จึงยังไม่มี และเมื่อชนแล้วตัวแกเองก็น่าจะรีบลงมาดู ขอโทษสักนิด แต่นี่ไม่มี แต่การขับรถเข้าไปเฉย มันแสดงถึงเจตนา ซึ่งเหตุการณ์นี้พอมีกล้องวงจรปิดสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ทั้งหมดเลย

อย่างไรก็ตาม ทางคุณยายวัย 77 ปี ได้ให้สัมภาษณ์กับทางทีมงาน โดยระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนนี้กำลังรอตำรวจเรียกมาคุยกันอยู่ จะได้ตกลงกันอย่างชัดเจน ยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุ ยายขับรถมา 16 ปี ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย ตอนนี้อยากรอให้อาการคนเจ็บดีขึ้นก่อน ให้รักษาตัวให้เต็มที่ จะได้ไม่เสียโอกาสในค่ารักษาพยาบาลต่างๆ 

ทนายอนันต์ชัย บอกด้วยว่า หลักทางคดีในด้านมนุษยธรรม คุณป้าบาดเจ็บจากการกระทำของคุณยาย ซึ่งคุณยายควรจะถอยรถออกมานิดนึง ลงไปดู แล้วช่วยเหลือเป็นการด่วน แต่เปล่าเลย เลี้ยวได้ก็เข้าบ้านเลย และตั้งแต่หลังเกิดเรื่องก็ไม่เคยติดต่อมาแต่อย่างใด ซึ่งตัวคุณยายควรแสดงสปิริตตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดอุบัติเหตุ จนกระทั่งถึงวินาทีนี้ ก็ต้องมาดู คนไทยเสียอย่างนึง พอมีประกัน ก็ผลักภาระไปให้ประกัน แต่คนถูกกระทำก็จะรู้สึกว่าทำไมไม่มาดูแลเลย แทนที่เรื่องมันจะง่าย ก็กลายเป็นยากไปเลย กลับกันถ้าคุณยายเป็นคนโดน จะพูดแบบนี้ไหม 

ซึ่งในคดีนี้จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ ถ้าเป็นไปอย่างที่คุณยายพูด ตำรวจต้องตั้งธงว่าประมาทไว้ก่อน แต่อีกแนวคือ เขาตั้งใจถอยรถมาชน คือเจตนาฆ่า เล็งเห็นผลได้ ซึ่งทั้งหมดต้องไปพิสูจน์กันในศาล และหากตำรวจแจ้งข้อหาพยายามฆ่าเมื่อไร ประกันก็จะไม่จ่ายทันที เพราะไม่ใช่อุบัติเหตุ

คุณฮาย บอกด้วยว่า วันนี้ถ้าจะมาขอโทษ หรือแสดงความรับผิดชอบ ก็มองว่าสายไปแล้ว เพราะจริงๆ มันควรเกิดตั้งแต่วันเกิดเหตุ ตนก็คงไปให้สุดเพื่อคุณแม่.