ฮ่องกงเป็นที่รู้จักอย่างดีในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการ ‘มูเตลู’ ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในการสมปรารถนา จึงมักมีเหล่าผู้ศรัทธาจากทั่วโลก โดยเฉพาะชาวไทย เดินทางมาสักการะบูชา ขอพร และแก้บนเป็นจำนวนมาก ทว่านอกจากวัดและเทพเจ้าที่คนไทยคุ้นเคยจากการบอกต่อกันปากต่อปากแล้ว ฮ่องกงยังมีวัดศักดิ์สิทธิ์อีกหลากหลายแห่งที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก และยังมีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมอีกมากมายที่จะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต ต้อนรับปีมังกรทองนี้ “เส้นทางสายมูเตลู ฉบับปีมังกรทอง” จึงได้มัดรวมและอัปเดตวัดฮ่องกง “อันซีน” กิจกรรมที่สายมูฯ ทำได้ในฮ่องกง พร้อมเชิญกูรูชื่อดัง อาจารย์คฑา ชินบัญชร มาร่วมแบ่งปันเคล็ดลับการสักการะที่ถูกต้อง เพื่อเปิดทางให้ทั้งนักเดินทางสายมูฯ ระดับเซียนและมือใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการ สามารถไปตามรอยได้ทันที!

#1 วัดหวังต้าเซียน หรือ หว่องไท่ซิน: ผูกด้ายแดงขอเนื้อคู่ สักการะเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย และปัดเป่าโชคร้าย ณ ห้องลับใต้ดิน

วัดหวังต้าเซียน หรือ หว่องไท่ซิน (Wong Tai Sin) ในภาษากวางตุ้ง ถือเป็นวัดที่คนไทยรู้จักกันดีจากการผูกด้ายแดงเพื่อขอเนื้อคู่จากผู้เฒ่าจันทรา หรือ เทพเจ้าหยุคโหลว (Yuelao) โดยเคล็ดลับการขอคู่ที่ถูกต้องจะเริ่มจากการเกี่ยวนิ้วมือเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถคล้องด้ายแดงที่นิ้วมือได้ (สามารถดูขั้นตอนได้ที่ป้ายแนะนำหน้าองค์เทพ) แล้วตั้งจิตอธิษฐานที่ด้านหน้าองค์เทพเจ้าหยุคโหลว สำหรับผู้ชายที่ชอบผู้หญิง ให้ผู้สักการะเริ่มต้นเดินจากรูปปั้นเจ้าบ่าว จากนั้นเดินหลับตาตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อไปผูกด้ายแดงที่รูปปั้นเจ้าสาว สำหรับผู้หญิงที่ชอบผู้ชาย หลังจากเริ่มต้นตั้งจิตอธิษฐานที่องค์เทพเจ้าหยุคโหลวแล้ว ให้เริ่มเดินหลับตาจากรูปปั้นเจ้าสาว ไปผูกด้ายแดงที่ฝั่งรูปปั้นเจ้าบ่าว สำหรับ LGBTQ+ ก็สามารถขอพรได้เช่นกัน ด้วยการขอพรที่ตรงกลางด้านหน้าองค์เทพเจ้าหยุคโหลว แล้วผูกที่ตรงกลางบริเวณมือขององค์ท่านเลย ระหว่างเดินต้องระวังไม่ให้นิ้วหลุดออกจากกัน และห้ามทำด้ายหลุดจากมือเด็ดขาด สำหรับคนมีคู่แล้วก็สามารถสักการะขอให้ชีวิตคู่ราบรื่นได้เช่นกัน

นอกจากความสำเร็จด้านความรักแล้ว วัดหวังต้าเซียนยังมีเทพเจ้าหวังต้าเซียนที่ชาวฮ่องกงยกย่องบูชาว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลคำขอให้สมปรารถนา ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ทำให้เจ้าสัวหลายคนแวะเวียนมาสักการะองค์หวังต้าเซียนอยู่บ่อยๆ วัดแห่งนี้มักคลาคล่ำด้วยผู้คนในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยเคล็ดลับในการไหว้ก็คือ ขณะไหว้ ห้ามสัมผัสถูกตัวของผู้สักการะท่านอื่นๆ เพราะอาจจะถูกถ่ายทอดโชคร้ายมาสู่ตนเองได้ แต่หากโดนธูปจากผู้อื่นจี้ ก็อย่าถือสา เพราะคนฮ่องกงจะถือว่าเป็นการฟาดเคราะห์ครั้งยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไม่อยากให้ควันธูปเข้าตา แนะนำให้ถือธูปชูสูงเหนือศีรษะ

นอกจากเทพเจ้าที่คนไทยรู้จักกันดีแล้ว วัดหวังต้าเซียนยังมีอีกหนึ่งจุดอันซีน ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดิน ได้แก่ ห้องลับใต้ดิน (Taisui Yuenchen Hall) อันเป็นที่ประดิษฐานของ พระแม่เต้าบ้อ มารดาแห่งดวงดาว (Goddess of the Great Dipper) ผู้ให้กำเนิดจักรวาล และรูปปั้นเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย เทพผู้คุ้มครองดวงชะตาของมนุษย์ตลอดทั้งปี ช่วยขจัดปัดเป่าเคราะห์กรรมให้เบาบางลง มีทั้งหมด 60 องค์ แต่ละองค์มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน มีทั้งบุคลิกเชิงบุ๋น บู๊ และดูสำราญ เชื่อกันว่าองค์ไท้ส่วยเอี๊ยประจำตัวจะมีบุคลิก นิสัย และการแต่งตัว คล้ายกับคนที่เกิดในปีนั้นๆ

การเข้า Taisui Yuenchen Hall จะมีค่าบริการ 100 เหรียญดอลล่าร์ฮ่องกง โดยจะได้รับธูปกำยาน 3 ดอก และยันต์มังกร แต่ถ้าเกิดในปีชงประจำปีนั้นๆ ก็จะสามารถเข้าได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการ และยังสามารถทำบุญบริจาค 300 เหรียญดอลล่าร์ฮ่องกง เพื่อทำพิธีฝากดวง แก้ชงกับนักพรตด้านใน เมื่อเข้าไปจะพบกับบรรยากาศการตกแต่งอย่างยิ่งใหญ่งดงาม รายล้อมไปด้วยรูปปั้นของเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย ทั้ง 60 องค์ ตรงกลางคือรูปปั้นของพระแม่เต้าบ้อ ด้านบนเพดานจำลองท้องฟ้ายามค่ำคืนของฮ่องกงในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง

การสักการะ มี 3 ขั้นตอน 1. เริ่มต้นจากการสักการะองค์พระแม่เต้าบ้อ โดยการนำธูป 1 ดอก เคารพพระแม่เต้าบ้อ 3 ครั้ง จากนั้นนำธูปไปปักที่กระถางธูปตรงกลางห้อง 2. นำธูปอีก 1 ดอก ไปสักการะองค์ไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีปัจจุบัน พร้อมเคารพ 3 ครั้ง เพื่อขอให้พระองค์คุ้มครองดวงของเราไปตลอดหนึ่งปี 3. นำธูป 1 ดอกสุดท้าย สักการะองค์ไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีเกิด พร้อมเคารพ 3 ครั้ง โดยสามารถดูหมายเลขไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีของตนเองได้ที่กระดานด้านหน้าทางเข้า เพื่อให้องค์ไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีเกิดคุ้มครองดวงชะตาของเราตลอดไป โดยการนำธูปไปสักการะเทพเจ้าในห้องใต้ดิน จะใช้มือซ้ายยกธูปขึ้นจรดหน้าผาก และคำนับเทพทั้ง 3 จุด จุดละ 3 ครั้ง ก่อนกลับให้นำยันต์มังกรที่ได้รับ ไปวนที่กระถางธูปด้านหน้าองค์พระแม่เต้าบ้อ 3 ครั้ง ถือเป็นการปลุกเสกสำหรับนำยันต์กลับไปบูชาเพื่อสิริมงคล

#2 วัดแชกงหมิว (Che Kung Temple) หรือวัดกังหัน: ไหว้องค์แชกง หมุนกังหันปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

อีกหนึ่งวัดที่รีวิวแน่น เป็นที่รู้จักสำหรับคนไทยเป็นอย่างดี นั่นก็คือวัดแชกงหมิว (Che Kung Temple) หรือวัดกังหัน วัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปี โดยชาวบ้านในย่านซ่าถิ่น (Sha Tin) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นายพลแชกง แม่ทัพฝีมือฉกาจแห่งราชวงศ์ซ่ง ในช่วงที่เกิดโรคระบาดร้ายแรง และเมื่อวันที่วัดสร้างเสร็จ โรคระบาดนี้ก็หายไป นายพลแชกงมักใช้กังหันมงคลเป็นสัญลักษณ์ในการนำทัพออกรบ ทำให้วัดแชกงมีกังหันเป็นสัญลักษณ์ประจำวัด โดยใบพัดทั้งสี่ของกังหันหมายถึง 1. การปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัว 2. การพัดสิ่งดีเข้าหาตัว 3. การพัดพาสุขภาพร่างกายแข็งแรงเข้ามา 4. การพัดโชคลาภเงินทองเข้ามา

โดยขั้นตอนการสักการะจะเริ่มจากการเคารพทิศ และไหว้ศาลเจ้าที่ หรือที่เรียกกันว่าอากงอาม่า ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าวัด จากนั้นก็ไหว้องครักษ์ทั้งสองฝั่ง ก่อนเข้าไปสักการะและขอพรต่อหน้าองค์แชกงในโถงกลาง ระหว่างไหว้ให้เอ่ยชื่อตนเอง พร้อมขอพรได้ตามที่ใจต้องการ ไม่จำกัดจำนวน แต่การขอพรต้องสบตากับองค์แชกงตลอดเวลา จากนั้นก็หมุนกังหัน 1 ครั้ง ตามเข็มนาฬิกา โดยห้ามหยุดกังหันเองเด็ดขาด และค่อยตีกลองอีก 3 ครั้งเพื่อปิดจบ เมื่อไหว้แล้ว องค์แชกงจะคอยเตือนใจให้ผู้สักการะมีความซื่อสัตย์ดังพลทหาร ป้องกันไม่ให้เผลอใจทำผิด ในปีมังกรแบบนี้ ชาวปีมะเมียควรมาไหว้องค์แชกง ซึ่งเป็นขุนพลสายกรำศึกที่จะช่วยเสริมสิริมงคลแก่ผู้เกิดปีมะเมียตลอดปีมังกรทองได้เป็นอย่างดี

#3 นองปิง (Ngong Ping): ขึ้นกระเช้าชมวิว ไหว้พระใหญ่ พร้อมลุยเส้นทางลับแห่งปัญญากลางหุบเขาสูง

เริ่มต้นปีมังกรด้วยการทะยานขึ้นสู่ที่ราบสูงนองปิง ซึ่งนับเป็นการเดินทางแห่งจิตวิญญาณ เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาและความงดงามของธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการขึ้นกระเช้า Ngong Ping 360 ชมวิวทะเลสุดตระการตาของเกาะลันเตาและอ่าวตุงชุง เพื่อเดินทางขึ้นไปสักการะวัดโป่หลิน (Po Lin Monastery) ที่มีอายุกว่า 115 ปี เรือนอาคารต่างๆ ในวัดแห่งนี้ ถูกออกแบบอย่างถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย โดยอาคารต่างๆ จะสร้างให้อยู่ไม่ติดกัน เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก หากเกิดไฟไหม้ ไฟก็จะไม่ลามไปยังตัวอาคารอื่นได้โดยง่าย นอกจากนั้นยังมีอุโบสถหลัก (Main Shrine Hall of Buddha) ตั้งอยู่ใจกลางวัด เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธเจ้า 3 องค์ในนิกายมหายาน นั่นก็คือ 1. พระศากยมุนี (พระประธานองค์กลาง) ที่จะมอบสติปัญญาให้กับมนุษย์ 2. พระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุฯ ประทานพรด้านสุขภาพ ให้หายป่วยในเร็ววัน มักแสดงพระหัตถ์โดยการประคองภาชนะน้ำมนต์ หรือสมุนไพร รวมถึงสถูปเจดีย์แบบจีน (หรือ ถะ) 3. พระอมิตาภพุทธะ ประทานพรให้จิตใจสงบสุข ผ่องใส

ผู้สักการะยังนิยมมาขอพรจากองค์พระใหญ่นองปิง พระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Tian Tan Buddha) ด้วยความสูงรวมส่วนฐาน 34 เมตร โดยขั้นตอนการสักการะจะเริ่มต้นจากจุดรับพลังที่ด้านล่างด้านหน้าองค์พระ โดยเริ่มจากการเอ่ยชื่อของตนเอง ทำความเคารพฟ้าดิน และทิศต่างๆ โดยอาจารย์คฑาได้เผยเคล็ดลับก็คือคำขอต้องระบุเป้าหมาย สิ่งที่อยากได้ และระยะเวลาให้ชัดเจน พร้อมกล่าวจบด้วยคำว่า “หมื่นคำอธิษฐานสมปรารถนา” คำขอจึงจะเกิดผล และเมื่อเดินขึ้นบันได 268 ขั้น ไปที่ฐานองค์พระ อาคารด้านในส่วนฐานเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระสารีริกธาตุ โดยส่วนฐานออกแบบภายนอกเป็นรูปดอกบัว มาจากชื่อของ Po Lin ที่แปลว่าดอกบัวอันล้ำค่า โดยกลีบดอกแต่ละกลีบจะสลักชื่อของผู้บริจาคของวัด จะมีเพียงกลีบเดียวที่สลักชื่อของพระพุทธเจ้าศากยมุนี หากมองจากจุดนี้ก็จะได้สบตากับองค์พระใหญ่ได้ตรงๆ ถือเป็นจุดอันซีนอย่างยิ่ง โดยเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนก็จะได้รับชมวิวภูเขา และหมู่บ้านนองปิงอันสวยงาม นอกจากนี้ผู้ที่มากราบไหว้ยังนิยมขอพรกับองค์พระใหญ่ และกลับมาขอบคุณโดยการเดินวิบากเส้นทางขึ้นเขาจากด้านล่างมายังนองปิงอีกด้วย ซึ่งนอกจากจะได้แสดงความขอบคุณแล้ว ระหว่างทางยังจะได้สัมผัสกับวิวธรรมชาติอันงดงามของฮ่องกงอีกด้วย

อีกหนึ่งจุดอันซีนของที่นี่ คือ ทางเดินเท้าแห่งจิตศรัทธาในนองปิง หรือ "Wisdom Path" มีผลงานศิลปะจัดวางกลางแจ้งขนาดใหญ่ชื่อว่า "Heart Sutra" ที่ตัวอักษรจีนแกะสลักอยู่บนเสาไม้ขนาดยักษ์ สูง 8-10 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ที่เชิงเขาลันเตา โดยมีการจัดเรียงเป็นลักษณะรูปเลข 8 อันเป็นสัญลักษณ์ของความไม่มีที่สิ้นสุด และสื่อถึงหลักธรรมเทศนาเรื่อง "การไม่ยึดติดและการไม่ปิดกั้นทางจิตใจ" ผลงานชิ้นนี้จึงเป็นตัวอย่างของการผสมผสานหลักปรัชญาเข้ากับศิลปะได้อย่างลงตัว

ก่อนกลับขอแนะนำให้มาพักรับประทานอาหารกลางวัน ที่โถงรับประทานอาหารของวัดโป่หลิน ซึ่งเสิร์ฟเมนูมังสวิรัติรสชาติดีหลายเมนู จนอาจลืมไปเลยว่ากำลังทานอาหารมังสวิรัติอยู่

#4 ต้นไม้ขอพร และวัดเจ้าแม่ทับทิมที่หลัมซุน: โยนส้มเสี่ยงทายดวงชะตา พร้อมสักการะเจ้าแม่ทับทิม

หมู่บ้านเล็กๆ ในไต๋โป (Tai Po) แห่งนี้อัดแน่นไปด้วยวัดเก่าแก่ และประเพณีทางวัฒนธรรมอันงดงาม เริ่มต้นกันที่ ต้นไม้ขอพรหลัมซุน (Lam Tsuen Wishing Trees) หนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนฮ่องกงมักจะมาขอพร โดยมีตำนานมาจากสามีภรรยาคู่หนึ่ง ฝ่ายชายต้องเดินทางไกลเพื่อเข้าเมือง ก่อนที่จะต้องแยกกัน ทั้งสองได้อธิษฐานจิตร่วมกันที่ใต้ต้นส้มและโยนส้มขึ้นไปบนต้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป สามีกลับมีเหตุให้หลงลืมภรรยา ทำให้ฝ่ายภรรยาเสียใจ ไปร่ำไห้ที่ต้นส้มต้นเดิม ทันใดนั้นลมได้พัดเอากระดาษขอพร ที่สามีได้ไปขอพรกับผู้หญิงคนใหม่ตกลงมาให้เห็นต่อหน้า ฝ่ายภรรยาจึงตั้งจิตอธิษฐานกับต้นส้มอีกครั้ง วอนขอให้สามีกลับมาหาตน เมื่อเวลาผ่านไป สามีมีโอกาสได้กลับมาที่ต้นส้มอีกครั้ง และทันใดนั้นกระดาษขอพรของภรรยาเก่าก็ตกลงมา ทำให้เขาสามารถจำภรรยาได้อีกครั้ง ตำนานเรื่องนี้ทำให้ต้นไม้นี้มีชื่อเสียงในด้านการขอพรเรื่องความรัก แต่ในปัจจุบันทุกช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งถือเป็นปีใหม่ ผู้คนก็จะหลั่งไหลมาตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อให้เริ่มต้นปีอย่างเป็นมงคล และประสบความสำเร็จไปตลอดปีด้วย

โดยขั้นตอนการอธิษฐานเริ่มจากการเขียนคำขอลงในกระดาษขอพร แล้วมัดกระดาษด้วยเชือกสีแดงที่ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งให้ถ่วงน้ำหนักด้วยลูกส้ม จากนั้นให้ตั้งจิตอธิษฐาน โดยแนะนำให้ขอเพียง 1 ข้อเท่านั้น จึงจะได้ผล 100% มิฉะนั้นผลลัพธ์ก็จะเฉลี่ยกันไปหากขอหลายข้อ เมื่ออธิษฐานจบให้โยนเชือกขึ้นไปให้กระดาษพ่วงส้มไปติดกับกิ่งไม้ให้ได้ คำอธิษฐานนั้นจึงจะเป็นจริง หากกระดาษและส้มหล่นลงมา ต้องโยนใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะติดกับกิ่งไม้เท่านั้น ห้ามยอมแพ้กลางคันเด็ดขาด

ทุกปี จะมีการจัดเทศกาล Hong Kong Well-Wishing Festival ที่ผู้คนทั้งในฮ่องกง และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะแห่แหนกันมา โยนส้มเสี่ยงทาย ลอยกระทงอธิษฐาน ชมการแสดงเชิดสิงโตและการแสดงอื่นๆ อีกมากมาย ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญช่วงตรุษจีนในฮ่องกงมาอย่างยาวนาน โดยจัดตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 15 ของเทศกาลตรุษจีน (วันที่ 10-24 กุมภาพันธ์ 2567) บริเวณ Lam Tsuen Wishing Plaza

บริเวณใกล้ๆ ก็ยังมีวัดเจ้าแม่ทับทิม หรือ Tin Hau Temple ประจำ Lam Tsuen หนึ่งในเทพเจ้าที่คนฮ่องกงศรัทธา เพราะบันดาลความสงบแก่ชีวิตผู้กราบไหว้ เจ้าแม่ทับทิมเป็นเทพเจ้าที่คนในพื้นที่แถบริมทะเล และชาวประมงให้ความนับถือเป็นพิเศษ เนื่องจากจะคอยคุ้มครองให้การเดินเรือราบรื่น ปลอดภัย

#5 สักการะเทพเจ้าห้ามังกร รับปีมังกรทอง ที่วัดเจ้าแม่ทับทิมย่านนัมชุง

จุดสุดท้ายที่จะขอแนะนำคือ เจ้าแม่ทับทิมย่านนัมชุง (Nam Chung Tin Hau Temple) ซึ่งเป็นวัดที่อันซีนสุดๆ เพราะวัดแห่งนี้เป็นวัดเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองและย่านเศรษฐกิจ จึงทำให้สงบเงียบ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยาน Pat Sin Leng Country Park (พัด ซิน เล้ง คันทรี พาร์ก) ริมอ่าว Starling Inlet ทำให้สามารถสัมผัสบรรยากาศสงบร่มรื่นของทิวเขา และทะเลริมอ่าวได้พร้อมกัน และยังสามารถมองเห็นวิวของเมืองเซินเจิ้นจากบริเวณนี้ได้อีกด้วย ถนนรอบวัดมีลักษณะคับแคบและคดเคี้ยว จึงอนุญาตให้รถยนต์ส่วนตัว หรือรถมินิบัสเข้าไปเท่านั้น แต่ก็สามารถเดินเท้าโดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ได้เช่นกัน ระหว่างทางสามารถดื่มด่ำธรรมชาติอันงดงามได้อีกด้วย อีกหนึ่งความมหัศจรรย์ของวัดแห่งนี้คือลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีความสิริมงคล คือ บริเวณริมอ่าว มีเกาะขนาดเล็กตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเทพเจ้ามังกร ซึ่งเกาะนี้เปรียบเสมือนไข่มุกที่ปากมังกรนั่นเอง

วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่ทับทิม และเทพเจ้าห้ามังกร สัญลักษณ์ของโชคลาภ ความสุข และอายุยืนยาวในปีมหามังกร โดยตำนานเล่าขานกันว่า มีเด็กหญิงคนหนึ่งบังเอิญไปพบไข่ปริศนา 5 ฟอง เธอจึงเก็บไข่ทั้งห้ามาฟูมฟัก แต่เมื่อไข่ฟักออกมากลับกลายเป็นตัวอ่อน สิ่งมีชีวิตประหลาด เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป แต่เด็กหญิงก็ยังดูแลสิ่งมีชีวิตทั้งห้าเป็นอย่างดี จนเติบโตเป็นเจ้าพญามังกรทั้ง 5 องค์ ประจำทะเลทั้ง 4 ทิศ และแดนสวรรค์

เมื่อมาถึงวัดแห่งนี้แล้ว ให้เริ่มต้นสักกระองค์พระประธาน และศาลเจ้าแม่ทับทิมก่อน ต่อมาจึงลงไปสักการะองค์เทพเจ้ามังกรทั้งห้าที่อยู่ด้านล่าง ด้วยธูป และผลไม้ 5 ชนิดได้แก่ แอปเปิล ส้ม ส้มโอ องุ่น และกล้วย โดย 5 เทพเจ้ามังกร จะดลบันดาลให้ผู้ขอประสบความสำเร็จไปทั่วทุกสารทิศ โดยระหว่างไหว้ให้รำลึกถึงพระคุณของมารดาดังพญามังกรที่สำนึกในบุญคุณของเด็กหญิงที่เปรียบดั่งมารดาผู้ให้กำเนิด อาจารย์คฑาจึงขอยกให้วัดแห่งนี้เป็นวัดห้ามพลาดในปีมังกรทองปีนี้ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเกิดในปีนักษัตรใด ก็สามารถเดินทางมาไหว้เพื่อรับความมั่งมีได้

นอกจากจะขึ้นชื่อในเรื่องของวัดศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฮ่องกงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมอีกมากมาย ที่จะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตรับปีมังกรทองนี้

จุดชมวิว sky100: ขึ้นลิฟต์ความเร็วสูงไปรับพลังแห่งปีมังกร ณ จุดชมวิวในร่มที่สูงที่สุดของฮ่องกง

หากจะเปิดรับพลังของปีมังกรได้อย่างเต็มที่ ก็ต้องขึ้นไปที่สูงเท่านั้น ขอแนะนำ จุดชมวิว sky100 จุดชมวิวในร่มที่สูงที่สุดของฮ่องกง ตั้งอยู่บนชั้น 100 ของอาคาร International Commerce Centre โดยนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปด้วยลิฟต์โดยสารที่เร็วที่สุดในฮ่องกง ซึ่งใช้เวลาเพียง 60 วินาทีเท่านั้น ด้านบนสามารถรับชมวิวฮ่องกงแบบ 360 องศา พร้อมกิจกรรมอินเตอร์แอคทีฟที่จะทำให้คุณได้รู้จักฮ่องกงมากยิ่งขึ้น

ยอดเขา The Peak: ยิ่งสูงยิ่งเฮง ขึ้นรถรางพีคแทรมสุดคลาสสิก เพื่อชมวิวฮ่องกงบนยอดเขา

อีกหนึ่งสถานที่มงคลรับปีมังกรก็คือ ยอดเขา The Peak การเดินทางเริ่มต้นจากการไต่ขึ้นเขาโดยพีคแทรม รถรางเก่าแก่ของฮ่องกง ที่มีการปรับปรุงให้สวยงาม และเห็นวิวได้อย่างชัดเจน ด้านบนเขายังมีกิจกรรมให้ทำอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร แหล่งช็อปปิง พิพิธภัณฑ์ และจุดชมวิวสวยๆ หลายแห่ง แต่ถ้าอยากได้รับพลังแห่งปีมังกรทองไปแบบเต็มๆ ขอแนะนำ Sky Terrace 428 จุดชมวิวกลางแจ้งที่สูงที่สุดในฮ่องกง สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 428 เมตร และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ตามหลักฮวงจุ้ย ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลของอ่าววิคตอเรียและตัวเมืองฮ่องกงได้อย่างชัดเจน

ขึ้นเขา Dragon’s Back: ไต่เขาหลังมังกรรับปีมังกรทอง เส้นทางธรรมชาติที่จะทำให้คุณมองฮ่องกงเปลี่ยนไป

ฮ่องกงในสายตาของนักท่องเที่ยวมักจะเป็นภาพของเมืองอันครึกครื้น เต็มไปด้วยตึกระฟ้าเรียงราย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮ่องกงยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติแสนสงบ ที่นักท่องเที่ยวสามารถมาดื่มด่ำบรรยากาศสีเขียวได้เต็มปอด ในปีมังกรทองแบบนี้ จึงอยากชวนทุกคนออกมารับพลังธรรมชาติบนยอดเขาที่ Dragon’s Back หรือเขาหลังมังกร เส้นทางเดินเขาระดับปานกลาง ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ทอดตัวยาวดูคล้ายสันหลังมังกร และเมื่อถึงส่วนหัวมังกร หรือ Shek O Peak ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเขาหลังมังกรแห่งนี้ ก็จะเห็นวิวสุดลูกหูลูกตาของมหาสมุทร และเทือกเขาหลังมังกรที่ทอดยาวต่อกัน หากเดินจนสุดเส้นทางก็จะมาบรรจบที่ชายหาด Big Wave Bay หาดที่เหมาะสำหรับการเล่นเซิร์ฟสุดๆ

ถนนคนเดิน-ตลาดกลางคืน Temple Street Night Market: อิ่มใจแล้วก็มาปิดทริปสายมูฯ แบบอิ่มท้องด้วยสตรีตฟูดเจ้าเด็ด

วัดเคยเป็นแหล่งรวมตัว พบปะสังสรรค์กันของคนฮ่องกงในสมัยก่อน และเมื่อจบกิจกรรมในวัด ผู้คนก็จะออกมาสังสรรค์กันต่อด้านนอก จึงทำให้พื้นที่รอบๆ วัด เริ่มคึกคักด้วยแผงขายของของเหล่าพ่อค้าแม่ขาย จนกลายเป็นถนนคนเดินดังเช่นในปัจจุบัน ถนนคนเดิน Temple Street Night Market จึงเป็นสถานที่ที่อยากแนะนำในการปิดท้ายทริปสายมูฯ ของเรา

ถนนคนเดิน Temple Street Night Market แห่งนี้เคยเป็นแหล่งช็อปปิงยามค่ำคืน ขายของที่ระลึกทั่วไป และร้านอาหารสตรีตฟูด หรือ Dai Pai Dong ตอนนี้ได้รับการปรับโฉมใหม่จากการท่องเที่ยวฮ่องกง (Hong Kong Tourism Board :HTKB) ให้ครึกครื้นไปด้วยแหล่งช็อปปิงของที่ระลึกมากมาย โดยตอนนี้ Temple Street ได้มีการปรับโฉมใหม่ นำร้านอาหารชื่อดังของฮ่องกง มาออกบูทในช่วงกลางคืน อาทิ Kai Kai Dessert ร้านขนมหวานสไตล์ฮ่องกง ที่ได้รับรางวัลมิชลินไกด์ติดต่อกันหลายปี หรือของว่างสไตล์ฮ่องกงอย่าง ขนมจีบ และลูกชิ้นปลา และยังมีร้านอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้คุณได้สัมผัสวัฒนธรรมอาหารแบบโลคอลของฮ่องกงได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พิเศษกว่านั้น สองข้างทางของ Temple Street ประดับประดาด้วยงานศิลปะ Installation ไฟนีออน ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพจำของฮ่องกงที่มีมายาวนาน ให้นักท่องเที่ยวได้ตามถ่ายรูปกันหลายจุด ซึ่งจะจัดตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2567 (ตามกำหนดการปัจจุบัน) ที่สำคัญนักท่องเที่ยวสายมูฯ ยังสามารถแวะดูดวงกับหมอดูประจำถนนแห่งนี้ที่จะตั้งบูทอยู่สองข้างถนนได้อีกด้วย

หากคิดว่าการมาไหว้พระขอพรในฮ่องกงนั้นจะจบในครั้งเดียว เราอยากให้คุณลองตัดสินใจดูใหม่หลังจากที่อ่าน “เส้นทางสายมูฯ ฉบับปีมังกรทอง” เพราะฮ่องกงนั้นเต็มไปด้วยภูมิทัศน์สายมูเตลูที่หลากหลาย ไม่หยุดนิ่งและมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะช่วงต้นปีมังกรทองแบบนี้ การเริ่มต้นปีอย่างเป็นสิริมงคลก็จะช่วยให้ตลอดทั้งปีของคุณราบรื่น ไร้อุปสรรค “เส้นทางสายมูฯ ฉบับปีมังกรทอง” นี้ จึงเหมาะสำหรับคนไทยทั้งสายมูฯ ตัวจริงและน้องใหม่ให้มาตามรอย ตามเก็บกันให้ครบทุกจุดเป็นอย่างยิ่ง