สาวเล่าประสบการณ์เตือนภัย ชายปริศนายืนบนทางด่วน พยายามเปิดประตูขอขึ้นรถ ซ้ำเอาหมวกกันน็อกฟาดรถจนได้รับความเสียหาย

วันที่ 11 มีนาคม 2567 มีรายงานว่า โลกออนไลน์ได้แชร์เรื่องราวจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Panhathai Buranaprasoetkun ได้โพสต์คลิปที่บันทึกจากกล้องหน้ารถ เล่าประสบการณ์โดนชายคนหนึ่งขอขึ้นรถ จากนั้นนำหมวกกันน็อกฟาดที่กระจกฝั่งผู้โดยสารด้านหลังได้รับความเสียหาย ซึ่งต่อมาได้มีคนแชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก

โดยระบุข้อความว่า "บันทึกเหตุการณ์ และสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ 09/03/2024 ณ ทางด่วนด่านเลียบแม่น้ำ ถ.พระราม 3 ช่องนนทรี (ภาพเหตุการณ์ตามคลิปจากกล้องหน้ารถ)

เวลาประมาณ 13.24 น.

เราขับรถออกจากบริษัท เพื่อจะกลับคอนโดที่ห้วยขวาง เลือกที่จะขึ้นทางด่วนปกติ มีผู้ชายวัยกลางคน พร้อมถือหมวกกันน็อกในมือ ยืนอยู่บนทางด่วน ห่างจากด่านเก็บค่าผ่านทางไม่ไกล เนื่องจากเราเป็นผู้หญิงขับรถคนเดียว ไม่มีเจตนาจะจอดเพื่อรับคนแปลกหน้าให้ขึ้นรถไปด้วย แต่มีรถเก๋งสีน้ำเงินคันด้านหน้าที่อยู่เลนขวามือ เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย แล้วเลี้ยวปาดหน้ารถเรา เราเลยคิดว่ารถคันนั้นจะจอด ทำให้เราชะลอและเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน เผื่อมีรถตามมาข้างหลัง แต่รถสีน้ำเงินคันนั้นไม่จอดและขับไป

ผู้ชายคนนั้นยืนขวางอยู่เลนซ้าย ทำให้เราขับรถต่อไปไม่ได้ แล้วผู้ชายคนนั้นก็เดินมาที่ประตูรถฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า และพยายามเปิดประตู แต่เปิดไม่ออกเพราะประตูถูกล็อกอยู่ เค้าพยายามดึงแรงขึ้น แล้วก็เอามือตีกระจกรถพร้อมตะโกนว่า "ไปลงด้วยได้มั้ย! ผมขอลงหน่อย! ผมขอไปลงข้างหน้าหน่อยเด้!!!" แล้วผู้ชายคนนั้นก็เอาหมวกกันน็อกฟาดที่กระจกฝั่งผู้โดยสารด้านหลัง ในขณะที่เราค่อยๆ เคลื่อนรถไปข้างหน้าด้วยความกลัว คิดแค่ว่าต้องเอาตัวเองออกจากบริเวณตรงนั้น

...

พอพ้นจุดนั้นเรารีบโทร 1543 เล่าให้ จนท.ปลายสายฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และขอให้มี จนท.ที่รับผิดชอบไปจัดการกับผู้ชายคนนั้น เพราะรู้สึกว่าเค้าอันตรายมาก ทาง จนท.ปลายสายแนะนำว่าหากต้องการแจ้งความ ให้ไปที่ สน.ทางด่วน 1 ตรงคลองเตย

คำถามคือ….. ผู้ชายคนนั้นขึ้นมาบนทางด่วนได้ยังไง? ยืนอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว? แล้วจุดเกิดเหตุใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทางมากๆ จนท.ตรงด่านเก็บค่าผ่านทางไม่มีใครสังเกตเห็นผู้ชายคนนั้นจริงๆ เหรอ? ถ้าเราไม่โทรแจ้งจะมี จนท.ที่รับผิดชอบมาจัดการมั้ย?

เวลาประมาณ 14.27 น.

เราโทรกลับไปที่ 1543 เพื่อถามว่าเป็นยังไงบ้าง จนท.ปลายสายแจ้งว่า จนท.ตร.ไปถึงจุดเกิดเหตุ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด พบว่ามีรถกระบะคันนึงจอดให้ผู้ชายคนนั้นโดยสารไปด้วย

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์วันนี้คือ

1. สน.ทางด่วน ไม่รับแจ้งความคดีอาญา เคสของเราถือว่ามีการทำลายทรัพย์สิน เป็นคดีอาญา ต้องแจ้งความกับ สน.ในพื้นที่ที่เกิดเหตุนั้นๆ

2. หากเกิดเหตุแบบนี้ไม่ว่าเราอยู่คนเดียวหรือไม่ การล็อกรถเสมอ คือสิ่งที่ดีและปลอดภัยที่สุด

3. ถ้ามีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ให้รีบหาจังหวะขับรถออกจากบริเวณนั้นเร็วที่สุด อย่าให้โอกาสคนคนนั้นมาถึงตัวรถเด็ดขาด

4. สติ คือ สิ่งสำคัญ ตอนนั้นตกใจจนทำตัวไม่ถูก พูดไม่ออก เราต้องดึงสติไว้ แล้วพอออกมาบริเวณที่ปลอดภัย เราค่อยจอดรถ และเสียสติทีหลังได้

5. ก่อนออกเดินทาง ตรวจสอบสภาพการใช้งานของกล้องหน้ารถเสมอ เผื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดแบบครั้งนี้

สรุปเหตุการณ์ของวันนี้

เราทำการแจ้งความที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ได้รับการดูแล และให้คำแนะนำที่ดีมากๆ จากคุณสารวัตรที่รับเรื่อง และมีทีมจากพิสูจน์หลักฐานตำรวจทำการเก็บลายนิ้วมือของผู้ก่อเหตุแล้ว

สุดท้ายนี้เราอยากบอกผู้ชายคนนั้นว่า…

เราไม่รู้จักคุณ เราไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร คุณไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง คุณมีปัญหาชีวิตอะไร แต่พฤติกรรมที่คุณทำคือการคุกคามและทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น คุณไม่แม้แต่จะพูดจาดีๆ ขอร้องดีๆ ไม่ให้แม้แต่คนบนรถได้ลดกระจกพูดคุยสอบถามที่มาที่ไป หรือให้โอกาสคนคนนั้นได้คิดตัดสินใจว่าจะรับคุณขึ้นรถรึเปล่า แต่คุณตีกระจก ทุบรถเราเลย ถึงคนคนนั้นจะไม่ให้คุณโดยสารไปด้วย มันก็คือสิทธิ์ของเค้า คุณไม่มีสิทธิ์คุกคามและทำลายทรัพย์สินของใคร

อยากฝากแชร์โพสต์นี้ ถ้าหากมีครอบครัว ญาติ หรือคนรู้จักของผู้ชายในคลิปนี้ รบกวนบอกเค้าให้มาแสดงตัวที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อรับชอบต่อสิ่งที่ทำด้วยค่ะ

จากการสอบถาม เจ้าของโพสต์ เปิดเผยกีบทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังตามสืบผู้ก่อเหตุอยู่ ตนเองได้รับแจ้งมาเพิ่มเติม จาก สน.ทุ่งมหาเมฆ เมื่อวานเย็น (10 มีนาคม) มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทางด่วนติดต่อไปที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ แจ้งว่า ผู้ก่อเหตุได้ขึ้นรถแท็กซี่ (ไม่ใช่รถกระบะตามที่ได้รับแจ้งจาก Call Center 1543 ณ วันที่เกิดเหตุค่ะ) เขาโดยสารรถแท็กซี่ไปลงแถวๆ รามคำแหง ตอนนี้ทางตำรวจกำลังตามสืบต่อ ยังไม่ทราบว่าตัวผู้ก่อเหตุเป็นใคร

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด มีรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ สามารถคุมตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว ที่ย่านซอยรามคำแหง 81 กรุงเทพฯ และได้นำตัวมาสอบปากคำ ทราบว่าสาเหตุที่ผู้ก่อเหตุขึ้นไปบริเวณทางด่วน เพราะต้องการรอรถ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้โบกรถมาหลายคัน แต่ไม่มีใครจอดรับ ยอมรับสาเหตุที่ตัดสินใจใช้หมวกกันน็อกฟาดรถของผู้เสียหาย เพราะไม่มีน้ำใจ พร้อมปฏิเสธที่จะขอโทษ

ด้านผู้เสียหาย ระบุว่า สาเหตุที่เอาหมวกกันน็อกฟาด เพราะไม่มีน้ำใจ ก็ทราบมาว่าเป็นแบบนั้น แต่ไม่เป็นไร ส่วนตัวก็มีสิทธิ์จะเลือกว่าจะช่วยเหลืออะไรใครแค่ไหน ตัวเองอาจจะโชคร้ายที่มีจังหวะหลบเลี่ยงไม่ได้ ยืนยันยกโทษให้ผู้ต้องหา เพราะคนสติไม่ดี ไม่สามารถไปเอาเรื่องอะไรได้ ส่วนเรื่องคดีจะมี 2 ทาง คือ อาญาและแพ่ง ในทางอาญาอาจจะมองว่าเขาไม่ปกติ อาจจะยอมความไป แต่ในทางแพ่งก็ให้บริษัทประกันเป็นผู้รับผิดชอบ ว่าจะทำอย่างไรต่อทางกฎหมาย

ขณะที่ พ.ต.อ.พนม เชื้อทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ ระบุว่า จากการสอบปากคำผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพ ซึ่งจะดำเนินคดีใน 2 ข้อหา คือ ทำให้เสียทรัพย์และข่มขู่ทำให้ตกใจกลัว เบื้องต้นผู้ก่อเหตุได้ขอโทษผู้เสียหายแล้ว หลังจากนี้จะเป็นกระบวนการสอบปากคำเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนผู้ก่อเหตุจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ อยู่ระหว่างประสานขอข้อมูลจากครอบครัว แต่จากการสอบปากคำพบว่าผู้ก่อเหตุมีอารมณ์ฉุนเฉียวบ้างในบางช่วง แต่ภาพรวมยังถือว่าอยู่ในอาการปกติ