วิเคราะห์พฤติกรรม สามีฆ่า "น้องนุ่น" ก่อนเผาอำพราง สารภาพแม่ แต่กลับพูดโยนความผิดฝ่ายหญิง เชื่อเสพติดความรุนแรง ฝังใจจากอดีต

วันที่ 21 ก.พ. 67 จากกรณี นายศิริชัย หรือ ทอย สามีที่ฆ่า "น้องนุ่น" น.ส.ชลลดา ภรรยาสาวสวย หลังจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ที่ร้านย่านถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา ระหว่างทางกลับบ้านทะเลาะกันเลยลงมือฆ่า แล้วนำศพไปทิ้งข้ามจังหวัด อีกวันทำทีไปแจ้งความคนหาย อ้างเมียกระโดดลงแล้วติดต่อไม่ได้ ตำรวจตรวจสอบพบพิรุธ คำให้การไม่ตรงกับหลักฐาน กระทั่งยอมจำนน โดยสารภาพว่าเป็นคนฆ่า โดยขณะที่นำร่างไปเผาอำพราง เปิดมือถือให้ลูกดูในรถ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ วันนี้เป็นการพูดคุยกับ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, หมอหมู รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มศว และทนายเกิดผล แก้วเกิด กรณีพฤติกรรม ผัวโหดฆ่า “น้องนุ่น”

โดย พล.ต.ต.วิชัย ระบุว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อน หรือคนรอบตัวของน้องนุ่นไม่เชื่ออยู่แล้วว่าน้องจะหนีไปโดยไม่ถูกทำร้าย จึงได้มีการรวมกลุ่มกันขึ้นมาเพื่อไว้สื่อสาร รวมทั้งมีพยานที่เห็นเหตุการณ์บางช่วงในคืนเกิดเหตุ ซึ่งสามารถจะบอกได้ว่า ก่อนเกิดเหตุ หรือระหว่างเกิดเหตุเป็นอย่างไร และจะสามารถบอกพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดได้ ดังนั้น สิ่งที่มีพิรุธที่สุด อาชญากร เวลาทำผิดแล้ว จะสร้างหลักฐานเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด แต่การสร้างหลักฐาน หากไปขัดกับข้อเท็จจริง ก็จะเป็นช่องที่จะทำให้สืบได้ว่าโกหก และจะเป็นหลักฐานสำคัญในการมัดตัว 

พล.ต.ต.วิชัย บอกด้วยว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่า น้องนุ่น จะกระโดดลงจากรถแล้วหนีไป เพราะผู้หญิงยังไงก็ต้องสงสารลูกเล็ก อีกทั้งยังเป็นคนที่ถูกกระทำอยู่เป็นประจำด้วย และสมมติว่าหนีไปจริง ก็น่าจะต้องโทรบอกเพื่อน

...

ด้าน หมอหมู มองว่า พฤติกรรมของสามีน้องนุ่น ถือเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงมาก ที่ผ่านมามีการใช้ความรุนแรงตลอด แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต แต่ครั้งนี้อาจจะรุนแรงกว่าที่ผ่านมา โดยใช้อิฐทุบหัว ซึ่งเป็นการกระทำโดยเจตนา เพราะมีโอกาสทำให้เสียชีวิตแน่นอน และที่บอกว่า ตื่นเช้ามาถึงรู้ว่าภรรยาเสียชีวิต ตรงนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพยายามปิดบังการกระทำความผิด โดยพยายามพาไปในจุดที่คิดได้ว่ามีการเดินทางไปทางนั้น

เมื่อถามถึงข้อหาที่มีการแจ้งกับ นายศิริชัย 2 ข้อหา ถือว่าหนักสุดแล้วหรือไม่ ทนายเกิดผล ระบุว่า หากเป็นข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ก็ต้องไปดูว่าเข้าความผิดใน 289 หรือ 288 ซึ่งฆ่าผู้อื่นโดยกระทำการอันโหดร้ายนั้นมีโทษถึงประหารชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งในกรณีนี้เป็นการทำร้ายน้องนุ่นซ้ำๆ จนเขาเสียชีวิต ส่วนศาลจะลงโทษอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล

พล.ต.ต.วิชัย บอกด้วยว่า พฤติกรรมของ นายศิริชัย ผิดมนุษย์ เพราะแทนที่จะรับสารภาพ แต่กลับไปโทษให้น้องผู้หญิงที่ตายไปแล้วอีก ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเราทำผิดก็บอกไปเลยว่าเกิดจากเราอะไรยังไง แต่ทำอย่างนี้ยิ่งตอกย้ำความใช้ไม่ได้ของตัวเอง

ขณะที่ หมอหมู วิเคราะห์ว่า การที่เขาพูดกับแม่ว่า ให้บอกลูกว่าพ่อตายไปแล้วก็ได้นั้น เหมือนเป็นการตระเตรียม หรือมีทักษะในการพูด ซึ่งพื้นฐานแล้วงานที่เขาทำก็ต้องใช้ทักษะการพูด 

ขณะที่ในรายการมีการเปิดภาพ "น้องนุ่น" ซึ่งเคยถูกสามีทำร้าย บริเวณลิฟต์ในคอนโดฯ แห่งหนึ่ง เมื่อปี 2563 ก่อนที่จะมีลูกด้วยกัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น น้องนุ่น ตั้งใจว่าจะเลิกกับสามีแล้ว แต่เพราะตั้งท้องจึงยอมคืนดี เพื่อรักษาความเป็นครอบครัวไว้

ซึ่ง ทนายเกิดผล มองว่า เหตุที่ผู้หญิงยอมขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเชื่อว่า เราขาดการช่วยเหลือทางด้านกฎหมายอย่างจริงจัง คือเวลามีคดีความ มี พม., ตำรวจ, กฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัว แต่เมื่อเป็นคดีความ ก็มีการพยายามไกล่เกลี่ย เพื่อให้สถาบันครอบครัวมันยังคงอยู่ได้ แต่ส่วนตัวมองว่า 1-2 ครั้งยังไม่เท่าไร แต่หากหลายครั้งควรจะมีบทลงโทษ ให้ศาลมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ห้ามเข้าใกล้ ภาคทัณฑ์ หรือคุมประพฤติ แต่พอคดีไปไม่ถึงศาล ยังอยู่ด้วยกัน ยังถูกตี ถูกซ้อม ไปแจ้งความก็โดนหนักกว่าเดิม กฎหมายความรุนแรงในครอบครัวมีอยู่ก็จริง แต่ไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มที่ ควรดำเนินคดีไปเลย

นอกจากนี้ หมอหมู ยังมองว่า ฝ่ายชายอาจจะเสพติดความรุนแรง เพราะไม่มีใครมาลงโทษเขา ซึ่งอาจจะมีความทรงจำในวัยเด็ก เกี่ยวกับการได้รับความรุนแรงเข้ามาในชีวิต และทำให้เสพติดความรุนแรงได้ แต่ลักษณะแบบนี้ ก่อความรุนแรง ต่อต้านสังคม หรือทำร้ายผู้อื่น ไม่ใช่อาการทางจิตเวช หรือผิดปกติทางบุคลิกภาพ ฉะนั้นการจะคบเพื่อน หรือจะเป็นสามีภรรยา ควรจะศึกษาเรื่องพวกนี้ด้วย การที่เขาจะคิดได้ว่าไม่ควรทำเป็นเรื่องยาก จึงต้องมีการบำบัด หรือรักษา ถ้าไม่บำบัด รักษา อาการอาจจะแรงขึ้น จนทำให้คนรอบข้างเสียชีวิตได้ แต่จะมาอ้างว่าเป็นโรคจิต ทางกฎหมายทำไม่ได้

เมื่อถามว่า เรื่องของการเจอศพที่ถูกเผา ถือเป็นจุดที่ไขคดีหรือไม่ พล.ต.ต.วิชัย เผยว่า แน่นอน เพราะจุดนั้นถือเป็นพยานหลักฐาน อีกทั้งการเจอของๆ นุ่น ก็ถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ไปประกอบกับคำรับสารภาพว่าทำแล้วนำไปเผาที่ไหนอย่างไร คดีนี้หลุดยาก มันมัดตัวหมด ซึ่งหากไม่เจอจุดนี้ ส่วนตัวก็เชื่อว่าเขายังไม่รับสารภาพแน่

นอกจากนี้ส่วนตัวเชื่อว่าหากตำรวจลงพื้นที่ที่บ้านทันที หลังเขาไปแจ้งความ หรือสอบทันทีที่พยานมาบอกว่าเจอพิรุธ แม้ยังไม่เจอศพ ก็อาจจะไล่ไปถึงศพได้เช่นกัน

แต่ที่ตำรวจไม่ไปตรวจ ก็เพราะว่าเขาแจ้งลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น ไม่ได้แจ้งเป็นคดีอาชญากรรมแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงไม่ได้ไปตรวจที่บ้านพัก แต่เมื่อมีพยานที่เจอทั้งสองคนในคืนนั้นมาบอก ต้องย้อนกลับไปตรวจ

ซึ่งหมอหมู บอกด้วยว่า การเผาอำพรางลักษณะนี้ ยังไงก็ยังคงเหลือเนื้อเยื่ออยู่ ซึ่งสามารถตรวจดีเอ็นเอได้ หรือแม้แต่เหลือโครงกระดูกก็ยังตรวจได้.

ที่มาจาก รายการเปิดปากกับภาคภูมิ