"เจ้าของร้านปังชา" ยืนยันเปิดร้านตั้งแต่ปี 2564 ไม่มีเมนูน้ำแข็งไสชื่อ "ปังชา" มาก่อน แต่กลับถูกร้านใหญ่ใน กทม. ฟ้อง พร้อมเผยไม่มีเงินทองมากมายถึง 102 ล้านบาท

จากกรณี ร้านดังได้โพสต์ข้อความระบุว่า ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "ปังชา" แล้ว พร้อมสงวนสิทธิ์ห้ามลอกเลียนแบบ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข และสงวนสิทธิ์ห้ามนำชื่อแบรนด์ปังชา Pang Cha ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไปใช้เป็นชื่อร้านหรือใช้เป็นชื่อสินค้าเพื่อจำหน่าย ซึ่งต่อมานักกฎหมายและทนายหลายๆ ท่าน ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ในทำนองเดียวกันว่า ทางร้านมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า, สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์, จดแจ้งลิขสิทธิ์ จริง แต่จะไปห้ามใครทำ บิงซู หรือน้ำแข็งไส ใส่ชาไทยไม่ได้ กระทั่งร้านดัง ได้ออกมาประกาศแจ้ง การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "ปังชา" มีการสื่อสาร ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน พร้อมขออภัย ตามที่เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ (ร้านดังขออภัย ดราม่าจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "ปังชา" สื่อสารคลาดเคลื่อน)

ล่าสุด วันที่ 30 ส.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ร้านปังชา น้ำชาเชียงราย ตั้งอยู่ถนนพหลโยธินสายใน ใกล้สี่แยกประตูสลี เขตเทศบาลนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายวีระชาติ ไอยรากาญจนาศักดิ์ อายุ 36 ปี เจ้าของร้านยังคงเปิดร้านให้บริการจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ น้ำแข็งไส ขนม ฯลฯ ตามปกติ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีเอกชนรายหนึ่งตั้งอยู่เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ได้ส่งหนังสือไปถึง นายวีระชาติ หลายครั้งในช่วงปลายเดือน ก.ค. 2566 ขอให้ยุติการละเมิดเครื่องหมายชื่อร้าน "ปังชา" เพราะคล้ายคลึงกับชื่อทางการค้าที่บริษัทได้จดทะเบียนและเปิดร้านจำหน่ายอาหารอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลและห้างสรรพสินค้าชั้นนำอื่นๆ ในกรุงเทพฯ รวมทั้งยังเรียกค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน 102 ล้านบาท 

...

นอกจากนี้ ในหนังสือยังแจ้งให้มีการขอโทษผ่านสื่อต่างๆ และทางหนังสืออย่างเป็นทางการ รวมทั้งให้แจ้งศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ซึ่งเปิดจำหน่ายในชื่อร้านปังชาเช่นกันให้รับทราบด้วย ทั้งนี้ ระบุให้นำเงินมาชำระค่าเสียหายภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือควบคู่กับการยกเลิกใช้ชื่อปังชาดังกล่าว และให้เลิกใช้คำว่า "ปังชา" ไปใช้เป็นชื่อเมนูน้ำแข็งไสด้วย หากยังเพิกเฉยจะคิดค่าเสียหายอีกวันละ 10,000 บาทต่อ 1 ร้านด้วย 

ทางด้าน นายวีระชาติ กล่าวว่า เดิมตนทำงานรับตกแต่งภายใน และต่อมาในปี 2564 ได้หันมาเปิดเป็นร้านจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ นม ฯลฯ และยังมีขนมต่างๆ อย่างขนมปังปิ้ง และเพื่อให้ผู้คนจดจำได้ง่ายจึงใช้ชื่อว่า "ปังชา" ที่ถนนสนามบินไม่ห่างจากร้านปัจจุบันมากนัก โดยมีหลักฐานเป็นการโพสต์ในเฟซบุ๊กมาตั้งแต่ต้นแล้ว 

จากนั้นในเดือน ม.ค. 2566 นี้ ได้ย้ายไปยังถนนพหลโยธินเพื่อขยับขยายร้าน กระทั่งวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา เริ่มมีหนังสือจากบริษัทดังกล่าวส่งถึงตนถึง 3 ครั้ง โดยแจ้งว่าร้านตนละเมิดเครื่องหมาย "ปังชา" และยังมีร้านของญาติตนที่เปิดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงรายด้วย ซึ่งตนแทบไม่อยากจะเชื่อเพราะชื่อนี้ก็เรียกขานกันอยู่ทั่วไปและอยากให้จำกันง่ายๆ ว่าร้านเราขายน้ำชาและมีขนมปังปิ้งด้วยนั่นเอง 

ทั้งนี้ เดิมตนก็ไปขอจดทะเบียนการค้าโดยใช้ชื่อเดียวกันนี้ แต่บริษัทที่ปรึกษาแจ้งให้ออกแบบให้ชื่อสอดคล้องกับรูปภาพก่อน ทำให้ตนชะลอไป แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันดำเนินการใดๆ ก็ถูกเอกชนรายดังกล่าวแจ้งว่าละเมิดเครื่องหมายการค้าฯ เรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาล ทำให้ตนและครอบครัวเครียดอย่างมาก เพราะเราคงไม่มีเงินทองมากถึงขนาดนั้น และตนก็ไม่ได้มีเจตนาจะไปละเมิดแต่อย่างใดอีกด้วย 

ดังนั้น เพื่อไม่ให้กระทบมากจึงได้เปลี่ยนชื่อร้านของญาติที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย หลังจากได้รับหนังสือไม่เกิน 7 วันแล้ว แต่ยังคงเหลือที่ร้านของตนบนถนนพหลโยธินสายในที่ยังใช้ชื่อเดิม และเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป โดยระหว่างนี้ก็ปรึกษาทนายความว่าจะทำอย่างไร เพราะดูจากเอกสารที่บริษัทแจ้ง พบว่าเขาเพิ่งมาขอจดทะเบียนเมื่อปลายปี 2565 หลังจากที่ตนใช้ชื่อนี้ไปแล้ว และตนก็ไม่เคยใช้ชื่อ "ปังชา" มาใช้เป็นเมนูน้ำแข็งไส แต่ใช้คำว่า "ปังเย็น" แทนต่างหาก สิ่งสำคัญคือตนคงไม่มีเงินทองมากมายถึง 102 ล้านบาท หรือปรับวันละ 10,000 บาท อย่างแน่นอน.