อ.ธรณ์ เผยความจริงแสนเศร้าของ "ดงตาล" ลูกพะยูนน้อยเกาะหลังเต่า ที่อ่าวสัตหีบ หลังมีรายงานเกยตื้นตายแล้ว ชี้โอกาสรอดชีวิตมีน้อย และสถานการณ์พะยูนกำลังวิกฤติถึงขีดสุด
วันที่ 3 มกราคม 2566 จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการแชร์เรื่องราวของเจ้า "ดงตาล" ลูกพะยูนน้อยที่เกาะหลังเต่า ที่ต่อมามีรายงานว่าได้ลอยเกยตื้นตายลงไปแล้ว ดังที่นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ (สุดเศร้า พบซากพะยูนลอยตายกลางอ่าวสัตหีบ คาดว่าเป็นตัวที่เกาะบนหลังเต่าทะเล) ทำให้หลายๆ ต่างหดหู่ใจ
ล่าสุด ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า มันเป็นเรื่องเศร้า จึงต้องทำใจก่อนเขียน ลูกพะยูน "ดงตาล" จากไปแล้วครับ เธอคือตัวที่เจอกับคุณลุงเต่า ที่ผมเพิ่งเขียนเรื่องไปเมื่อ 3-4 วันก่อน ดงตาลเป็นลูกพะยูนเพศผู้ อาศัยอยู่ในอ่าวสัตหีบกับแม่เมื่อปีก่อน แม่ลูกอยู่ด้วยกันแสนสุข แต่มันไม่ยืนยาว
...
เมื่อต้นเดือนธันวาคม แม่พะยูนตาย เกยตื้นที่สัตหีบ หลายคนเชื่อว่าเป็นแม่ของดงตาล เพราะหลังจากนั้น มีรายงานว่าพบลูกพะยูนอยู่เพียงลำพัง ในอ่าวสัตหีบ มีข่าวเป็นระยะ เช่น เจอพะยูนอยู่กับเต่า จนท้ายสุดมีการสำรวจร่วมกัน ระหว่างทหารเรือกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องพะยูน ทำให้เกิดภาพ และเรื่องราวที่เขียนให้เพื่อนธรณ์อ่าน ตอนที่ผมเขียน ผมก็พอทราบอยู่ ว่าโอกาสที่ดงตาลจะรอด มีน้อยยิ่งกว่าน้อย
ดงตาลยาวแค่เมตรเดียว ยังไม่น่าจะหย่านม อยู่เพียงลำพัง ธรรมชาติโหดร้าย แต่อาจไม่โหดเท่ามนุษย์ที่ "อาจ" เป็นสาเหตุทำให้แม่ดงตาลจากไป จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ และจุดจบไม่ใช่แค่ดงตาล เรื่องเศร้ายังอาจไม่ถึงคำว่าจบบริบูรณ์
รายงานของกรมทะเลใน พ.ศ.2565 ที่สัตหีบมีพะยูน 5 ตัว (ภาพในคอมเมนต์) เดือนกันยายน ปีก่อน ตาย 1 ตัว เดือนธันวาคม ปีก่อน ตาย 1 ตัว (อาจเป็นแม่ดงตาล) เดือนกุมภาพันธ์ ดงตาลตาย แม้ข้อมูลจากกรมทะเลบางส่วน เป็นการประเมิน อาจไม่ใช่ 5 เป๊ะๆ แต่ก็คงคลาดเคลื่อนไม่มาก
ในเวลา 6 เดือน พะยูนตาย 3 ตัว คงไม่ใช่เรื่องดีเลย สถานการณ์พะยูนที่สัตหีบกำลังวิกฤติถึงขีดสุด และหากเราไม่ทำอะไรเลย คำว่าจบบริบูรณ์อาจมาถึงอย่างแท้จริง หมายเหตุ ตอนนี้กำลังทำแผนโลมา 14 สุดท้ายที่สงขลา พะยูนตรัง โลมาสีชมพูดอนสัก/ขนอม พอเสร็จจากนี้อาจมีส่วนนำไปประยุกต์ใช้ได้ครับ จะพยายามครับ ภาพจากทุกท่านครับ.
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat