"แพรรี่ ไพรวัลย์" ฟาดเดือด ดราม่าวงการสงฆ์ พร้อมตั้งคำถามถึง "พระ" ทำตัวไม่เหมาะสม ยืนยันออกมาตั้งคำถามในฐานะพุทธบริษัท เห็นแก่ศาสนาโดยรวม

วันที่ 24 ม.ค.66 จากกรณี ดราม่าวงการสงฆ์หลังจากมีภาพหลุดของพระชื่อดัง ขี่เจ็ตสกี เล่นน้ำตก กับลูกศิษย์ แพรรี่ ไพรวัลย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนนี้วงการสงฆ์เหมือนภูเขาไฟ ขยันปะทุต่อเนื่อง มีเรื่องให้ชาวบ้านได้ติฉินนินทาตลอด ในฐานะที่เคยอยู่ในวงการ ก็อยากเห็นรุ่นน้องในวงการมีภาพลักษณ์ที่ดี มีศรัทธาที่ดี ทำให้คนกลับไปนับถือพระพุทธศาสนา อยากเห็นมุมนั้นมากกว่า เรื่องคาวๆ ควรเป็นเรื่องของฆราวาสมากกว่า

เมื่อถามถึงเคสล่าสุดที่ออกมาแสดงความเห็นอย่างดุเดือด แพรรี่ บอกว่า เพราะเห็นว่าไม่จบสักที อีกทั้งก็มีภาพหลุดออกมาเรื่อยๆ อีกทั้งตัวพระเองก็ไม่ได้รู้ร้อนอะไรในสิ่งที่ทำ แสดงความรับผิดชอบ หรือคณะสงฆ์จะมีแนวทางในการจัดการอย่างไร ทั้งที่บางภาพมันไม่จำเป็นต้องรอคำตัดสินจากศาลด้วยซ้ำ อย่างภาพขี่เจ็ตสกี ซึ่งตนว่า มันน่าจะต้องมีแนวทางบางอย่างได้แล้ว และตัวพระเองยังออกมาบอกว่า ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ผิด ตนก็มองว่าไม่ได้ จึงออกมาให้ความเห็น เพราะเรามองว่าเป็นเรื่องเสียหาย

แพรรี่ กล่าวต่อว่า ครูบาไก่ ไม่ใช่เณรภาคฤดูร้อน ถ้าเป็นเณร เป็นเด็กไปบวช ใกล้สึกพระอาจารย์จะพาไปเที่ยวทะเล ไปเล่นน้ำ อันนี้ตนยังพอรับได้ เพราะเข้าใจว่าเป็นเด็ก แต่เคสครูบาไก่ ก่อนหน้ามีข่าวเยอะ ลงสื่อสร้างภาพลักษณ์ให้มีความน่าศรัทธา ทำให้รู้สึกว่า ตกลงแล้ว ครูบาไก่ เป็นพระแบบไหน ถ้าไม่มีภาพหลุดก็จะคิดไปได้อีกแบบ ลูกศิษย์บางคนยังอวยว่า เป็นพระอรหันต์ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้ได้ว่าที่ดินตรงไหน มีพระฝังอยู่ ถ้าไม่มีภาพหลุดออกมา คนก็เชื่อว่าเป็นแบบนั้น แต่พอมีภาพ อย่างตนก็จะตั้งคำถามในความรู้สึกตนว่า เป็นครูบาแท้ หรือครูบาปลอม เพราะบางทีฆราวาสยังไม่แก้ผ้าเล่นน้ำตกแบบนั้นเลย แต่เอาจริงๆ ประเด็นน้ำตก มันก็ไม่ได้เสียหายมาก แต่ภาพที่ซ้อนท้ายขี่เจ็ตสกี อันนั้นเกินไป

...

ต่อข้อถาม ตามกฎของสงฆ์ปกติจะมีการลงโทษอย่างไร แพรรี่ เปิดเผยว่า แล้วแต่สังกัด ถ้าสังกัดธรรมยุติ ก็ต้องออกมาอธิบาย ว่าหลังจากสอบอธิกรณ์แล้ว ทำจริงมั้ย ทำให้ท่านเสียหายมั้ย ทำให้คณะสงฆ์โดยรวมเสียหายมั้ย แต่นี่ก็ยังไม่เห็นทำอะไร ครูบาไก่ ก็ยังอยู่วัด และออกมาให้สัมภาษณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้สึกรู้สาเกินไป ตนไม่ได้ผิดหวังอะไร เพราะไม่ใช่ลูกศิษย์ แต่เห็นแก่ศาสนาโดยรวม จึงได้ตั้งคำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่ท่านทำ ย้อนแย้งกันขนาดไหน แต่บางคนก็ยังตั้งไม่ได้ ยังมองว่าเป็นเรื่องของมารผจญ คนที่เอาภาพออกมากลายเป็นคนไม่หวังดี ตนจึงต้องออกมาค้านบ้าง ต่อให้จะมีผลประโยชน์หรือไม่มี แต่หากเป็นภาพจริง คุณจะไปบอกว่าเขาไม่หวังดีเป็นมารศาสนาไม่ได้

นอกจากนี้ แพรรี่ ยังตั้งคำถามว่า ภาพที่เกิดขึ้นเป็นการจัดฉากอย่างไร ถ้าท่านดีจริง ใครจะทำลายท่านได้ ถ้าปฏิบัติงดงามทั้งต่อหน้าและลับหลัง ใครจะไปแอบถ่ายได้ แต่เพราะเบื้องหน้า และเบื้องหลังไม่ใช่แบบเดียวกัน มันถึงมีภาพหลุดออกมา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นพอมีคนแท็กมา ก็เหมือนว่าเราหนีความรับผิดชอบไม่ได้ แต่ถือว่าเป็นเรื่องส่วนรวม เพราะเรานับถือศาสนาพุทธ เป็นหนึ่งในพุทธบริษัท ไม่ใช่มีหน้าที่แค่เอาของไปถวายพระ แต่มีหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์ด้วยในกรณีที่พระทำตัวไม่เหมาะสม ซึ่งชาวพุทธส่วนหนึ่งไม่ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเราก็ทำด้วยความหวังดี ไม่ใช่โจมตี

เมื่อถามถึงคำว่า “ครูบา” แพรรี่ อธิบายว่า ธรรมเนียมบางที่ไม่เหมือนกัน โดยปกติจะไม่ใช้เรียกพระหนุ่ม แต่จะเรียกพระมหาเถระ ที่มีพรรษาเยอะๆ สัก 20-30 พรรษา ในแต่ละชุมชนจะมีเพียงรูปเดียว ที่เขาศรัทธา ยกย่อง แต่ในภาษาอีสานจะไม่ค่อยได้ยินเรียกว่า “ครูบา” แต่เขาจะใช้คำว่า “ยาครู” พอได้ 10 พรรษา จะมีพิธีฮดสรง แล้วเขาจะยกย่องกัน แต่พระเดี๋ยวนี้ ยังไม่ทันแก่ ก็อยากจะเป็นครูบา เช่น อายุ 30 กินหมาก ปากแดง ถือไม้เท้า ยังเดินได้อยู่เลย ถือไม้เท้าทำไม มันเหมือนสร้างภาพให้คนเห็นว่าขลัง

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ตนทำคนเดียวไม่ได้ แต่ตอนนี้ภาคสังคมค่อนข้างเข้มแข็ง อย่างเรื่องพระคาดผม หลังมีคนไปพบว่าบวชใหม่ ก็จะเอามาตั้งคำถาม เอามาแชร์ พอภาคสังคมเข้มแข็ง เขาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ดีจริง ก็ต้องถูกจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ตนออกมาพูดไม่ใช่เพื่อจะโจมตี เพราะไม่รู้จักกันมาก่อน ถ้าเคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน ก็ว่าไปอย่าง.