เบื่อแล้วกับระบบ ที่ต้องก้มหัวทำตาม หนุ่มยื่นลาออกจากการเป็นครู บอกจากที่มีความสุขกับการสอน เหลือแค่มีความสุขเวลาเล่นนอกเวลากับนักเรียน จากนี้ขอเดินตามฝัน

วันที่ 21 ธันวาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกโซเชียลมีการแชร์ข้อความจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งเป็นข้าราชการครู หลังโพสต์ข้อความว่า ตนเองไม่เหมาะกับการเป็นข้าราชการครูแล้วครับ และได้ยื่นใบลาออกแล้ว

โดยมีข้อความระบุว่า “อนุชิต ไม่เหมาะกับการเป็นข้าราชการครูแล้วครับ (อ่านให้จบกันก่อนนะ ละจะเข้าใจอนุชิตมากขึ้นครับ) เกือบ 7 ปีที่ได้ทำหน้าที่เป็นข้าราชการครู วันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

อนุชิต จะปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการครู ณ ที่แห่งนี้ … อีกประมาณ 1 เดือนเท่านั้น
ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะ การตัดสินใจครั้งนี้ อนุชิตคิดมันมานานมาก คนสนิทชิดเชื้อ คนใกล้ตัว จะรู้ดีว่า อนุชิตอยากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนขนาดไหน แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง จังหวะ โอกาส ไม่เป็นใจสักรอบ จนครั้งนี้

ทุกอย่างค่อนข้างปูทาง จบ ป.โท ตามเวลาที่หวัง ขออนุญาตครอบครัวในการลาออกจากราชการก็สมหวัง ทำเอกสารยื่นวีซ่า ผลตรวจสุขภาพ จนกระทั่งการรอผลวีซ่า (แม้จะเป็นช่วงเวลา 1 เดือนที่ทรมาน) ทุกอย่างก็ราบรื่นหมด

คือ…อนุชิต ไม่สนุกกับการสอนหนังสือแล้วอะครับ ยิ่งช่วงปีนี้ เป็นปีที่กลับไปทบทวนตัวเองเวลาอยู่ห้องคนเดียวบ่อยมาก ว่า อืม เราไม่เหมือนเดิม เราไม่สนุกกับการสอน ไม่เหมือนก่อน เราไม่เอ็นจอยแล้ว

อีกทั้ง เหนื่อยหน่ายกับระบบ ที่ต้องก้มหัวทำตาม เรียกร้องอะไรเบาๆ เขาก็แทบไม่สนใจ ต้องเล่นใหญ่ใจโตตลอด ทุกคนก็คงเห็นความแรงของเราเวลา complain โรงเรียนลงโซเซียล

เราเบื่อที่เราตั้งใจสอน เราพยายามสอน แต่ผลประเมินเงินเดือนครั้งนึง ของเราออกมาน้อยจนน่าเกลียด เราได้ 2.25% ซึ่งโคตรแย่ บันทึกขอดูคะแนน ก็ไม่ให้ดู เหอะๆ ก็ได้แต่มานั่งคิดทบทวน บทบาทการเป็นครูของเรามันต่างกับคนที่ได้ 3.xx% ขนาดนั้นเชียวหรือ เราสอนไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือ มันฝังใจเรามาก และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราบอกตัวเองเสมอว่า ถ้ามีโอกาสลาออก เราจะออกเท่านั้น เราพอแล้วกับระบบนี้

แล้วเราก็เบื่อที่ต้อง make เอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนการสอน plc แผนพอเพียง pa วิจัย sar บลาๆๆ เรารู้สึกว่าเสียเวลา และเปล่าประโยชน์ (เป็นความรู้สึกจากเราเองไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะ)

ละก็ อีกอย่างที่เป็นจุดพีกสุด เราคิดว่าเป็นที่นิสัยของเรา ที่ไม่ชอบเห็นอะไรที่มันไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เรื่องที่แรงมากๆ และฝังใจสุดๆ คือวันที่เราจับโจรในคราบครู ได้ว่าโกงเงินนักเรียน 50,000 บาท ตอนนั้นเราทำเรื่องคนเดียวเงียบๆ มีคนให้การสนับสนุนเราเพียงแค่ไม่กี่คน และพอหลักฐานชัดเจน จับได้คาหนังคาเขา
มีคนคนหนึ่งบอกว่าเราทำเกินไป เรากำลังจะฆ่าเขา เพียงแค่เราบีบมือเขาก็ตายคามือเราแล้ว คำถามที่เราถามกลับเขาไปคือ แล้วก่อนหน้านี้ที่เขาค่อยๆ เอามีดบาดเราทีละนิดๆ แต่เราก็ทนพิษบาดแผลได้ ตอนนั้นใครสนใจเราเหรอ? แล้ว นร.ที่ถูกกระทำคุณไม่ห่วง ไม่เห็นใจ เขาบ้างเหรอ?

ละความพีกสุดคือ โทษนางแค่ลดเงินเดือน 3 เดือนเท่านั้น ทั้งๆ ที่ควรโดนให้ออกจากราชการไหม?

ตอนนั้นช่วงที่ทำเรื่องคือแบบ เครียด เพราะเพื่อนรอบข้างที่รู้เรื่องก็กลัวชีวิตเราจะไม่ปลอดภัย ไม่โอเคสุดๆ สุด แบบเออ ถึงขั้นส่งอีเมลไปให้เพื่อนสนิท บอกว่า ถ้าเกิดตายไปช่วยสานต่อเรื่องนี้ให้ด้วย เหอะๆ

สุดท้ายได้แต่มาน้่งบอกกับตัวเองว่า ขอเหอะ ขอวันนึง ทามมิ่งชีวิตสวยๆ จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับระบบ นี้อีกเลย พอแล้ว พอกันที ก็นั่นแหละ ระบบที่มันไม่โอเค ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ก็ขอถอยออกมาดีกว่า

จากที่มีความสุขกับการสอน มีความสุขเวลาอยู่กับนักเรียน เหลือแค่มีความสุขเวลาอยู่เล่นนอกเวลากับนักเรียนอย่างเดียว

ดังนั้น ควรเปิดทางให้คนที่ "อยาก" จะเป็นข้าราชการครูจริงๆ และยอมรับระบบนี้ได้ ได้เข้ามาเป็นครูแทนเราดีกว่า ส่วนตัวเราก็ไปเดินตามความฝันตามทางที่เราวางไว้ บายครับราชการครู"

ซึ่งหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ก่อนที่ครูอนุชิต จะโพสต์ข้อความ ขอบคุณทุกกำลังใจ และว่าเอาจริงไม่คิดว่าจะไวรัลขนาดนี้ อีก 1 เดือน จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ.

...

ที่มาจาก เฟซบุ๊ก