ดร.อนันต์ เผยข้อมูลจาก Pfizer ต่อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 BA.5 หนีภูมิจากวัคซีนรุ่น 2 ได้ทุกสูตร หากใช้ต้องดูตามสถานการณ์ ส่วนคนไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนหลังฉีดวัคซีนรุ่น 2 พบว่ามีภูมิสูง
หลังจาก ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค สวทช. ได้โพสต์ถึงกรณีเคยติดโอมิครอนหายแล้วควรฉีดวัคซีนเมื่อไหร่ดี โดยผลการศึกษาวัคซีนสูตรสองของ Moderna ออกมาชัดว่า ถ้าคนที่เคยติดโอมิครอนมาก่อนแล้วมากระตุ้นด้วยวัคซีนสูตรสอง (mRNA-1273.214) ที่มีสไปค์ของ Wuhan และ BA.1 อย่างละครึ่ง (25 ugx2) สามารถกระตุ้นแอนติบอดีต่อสายพันธุ์หนีภูมิเก่งอย่าง BA.4 และ BA.5 ได้สูงมากกว่ากลุ่มที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน
ตัวเลขหลังกระตุ้นในกลุ่มคนปกติเพิ่มจาก 116 ไป 727 โดยยังมีบางคนที่ภูมิกระตุ้นไม่พอต้าน BA.4 และ BA.5 สังเกตได้จาก ยังมีตัวอย่างที่ทับเส้น LOD อยู่ แต่ในกลุ่มที่เคยติดเชื้อมาแล้วภูมิก่อนกระตุ้นอยู่ที่ 720 สามารถกระโดดไปถึง 2337 ได้ โดยทุกคนอยู่สูงกว่า LOD หมด
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคิดว่าคนที่เคยติดโอมิครอนมาแล้ว ควรถูกกระตุ้นด้วยวัคซีนสูตร 2 มากกว่า แต่ในขณะที่วัคซีนยังไม่มาควรทำอย่างไรดี ส่วนตัวมองข้อมูลชุดนี้แล้วเห็นว่าค่า 720 ในกลุ่มที่เคยติดใกล้เคียงกับกลุ่มปกติที่กระตุ้นด้วยวัคซีนสูตรใหม่มาก จริงๆจะดีกว่านิดหน่อยด้วยเพราะในกลุ่มที่เคยติดมาไม่มีใครมีค่าต่ำกว่า LOD ซึ่งหมายความว่า ภูมิที่ได้จากธรรมชาติช่วยป้องกัน BA.4 และ BA.5 ได้ดีในระดับนึงอยู่แล้ว
ล่าสุด (วันที่ 29 มิถุนายน 2565) ดร.อนันต์ ได้เผยข้อมูลทางฝั่ง Pfizer ระบุว่า วัคซีนรุ่น 2 ของ Pfizer มีอยู่ 2 รูปแบบที่ทำการทดสอบมาคือ เป็น mRNA ของ BA.1 อย่างเดียว (monovalent) และ mRNA ของ BA.1 ผสมกับ วัคซีนรูปแบบเดิม (bivalent) เหมือนกับของ Moderna
...
โดยทีม Pfizer ได้ทำการทดสอบสูตรวัคซีนทั้งขนาด 30 ug และ 60 ug โดยใช้วัคซีนรุ่น 2 เป็นเข็มกระตุ้นที่ 4 ในอาสาสมัครอายุมากกว่า 55 ปี ที่ได้ Pfizer มาแล้ว 3 เข็ม โดยอาสาสมัครได้เข็มที่ 3 มาแล้วโดยเฉลี่ย 6.3 เดือน
ผลจากจำนวนอาสาสมัคร 320 คนต่อกลุ่ม พบว่า ถ้าดูภูมิต่อไวรัสโอมิครอน BA.1 กลุ่มที่ได้ภูมิสูงที่สุดคือ กลุ่มที่ได้ mRNA Omicron แบบเดี่ยวขนาด 60 ug และ 30 ug ตามลำดับ
ขณะที่กลุ่มที่ได้วัคซีนแบบผสม หรือ bivalent ได้ภูมิที่น้อยกว่า โดยเทียบกับกลุ่มที่ได้รับเข็ม 4 เป็นวัคซีนแบบเดิมที่ 3.15 เท่า และ 2.23 เท่า สำหรับวัคซีน monovalent-Omicron และ 1.97 และ 1.56 เท่าสำหรับ bivalent-Omicron ซึ่งก็สอดคล้องกับค่าแอนติบอดีก่อนและหลังกระตุ้นที่ 1 เดือนของวัคซีนแต่ละชนิด
ทาง Pfizer ยังได้ทำการทดสอบเพิ่มเติมกับไวรัส BA.4/ BA.5 เช่นเดียวกัน โดยผลการทดลองที่ได้เป็นไปตามคาดคือ BA.4/BA.5 หนีภูมิจากเข็มกระตุ้นวัคซีนรุ่น 2 ได้ทุกสูตรในระดับหนึ่ง ประมาณ 3-4 เท่า ถ้าใช้ไวรัสตัวจริงในการทดสอบจะพบว่า สูตรที่เป็น bivalent แบบผสม 1:1 จะมีภูมิต่อ BA.4/BA.5 สูงกว่า สูตรที่เป็น monovalent ซึ่งสอดคล้องกับผลจากการทดสอบโดยใช้ไวรัสตัวแทน (pseudotyped virus) ที่ทดสอบในหนูทดลอง
สรุปว่า วัคซีนสูตร 2 ของ Pfizer ถ้าจะใช้ให้ดูสถานการณ์การระบาดถ้า BA.4/BA.5 มาแรงคงต้องไปที่สูตรผสม bivalent แต่ถ้ามีไวรัสที่ใกล้เคียง BA.1 ออกมาอีกในอนาคต อาจพิจารณาใช้สูตรแบบ monovalent ซึ่งการ update วัคซีนคงยากที่จะได้ตรงกับสายพันธุ์ไวรัสแบบตรงเป๊ะๆ เพราะไวรัสไปไวกว่าหลายเท่าตัวครับ
นอกจากนี้ยังพบว่า วัคซีนชุด 2 ของ Pfizer มีความน่าสนใจ คือ วัคซีนที่ออกแบบสำหรับโอมิครอนทดสอบในอาสาสมัครที่ไม่เคยฉีดวัคซีนใดๆ เลย และ ไม่เคยติดโควิดด้วย พบว่า หลังกระตุ้นเข็มสองด้วยวัคซีนรุ่นใหม่นี้ภูมิต่อโอมิครอนขึ้นสูง แต่ภูมิต่อสายพันธุ์เดิมไม่ขึ้นเลย และ Delta ขึ้นมาน้อยมากๆ นั่นคือ ร่างกายเห็นสไปค์ของโอมิครอนเป็นครั้งแรกภูมิจึงตอบสนองออกมาดีมากต่อโอมิครอน เพียงแค่ 2 เข็มเอาอยู่ เชื่อว่าถ้าได้เข็ม 3 อีกที คงพุ่งระดับหลายพันและอยู่ไปแบบยาวๆ
แตกต่างจากคนที่ฉีดวัคซีนเก่ามา (ผลแสดงก่อนหน้านี้) แล้วกระตุ้นด้วยวัคซีนใหม่ ภูมิจะไม่ขึ้นอย่างจำเพาะและสูงเท่ากลุ่มนี้ เพราะความจำจากวัคซีนเดิมมีมาก การจะได้อะไรแบบ fresh เหมือนกลุ่มนี้จึงยากและอาจเป็นไปไม่ได้ วิธีหนึ่งคืออย่าไปกระตุ้นด้วยวัคซีนเก่าซ้ำๆ โดยไม่จำเป็น เพราะเราต้องเผื่อร่างกายไว้กับสิ่งใหม่ๆ บ้าง.
ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana