สังคมไทยยังสับสนน่าเป็นห่วง “การปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด” ที่กำลังเป็นช่วงรอยต่อรอ “ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ...” อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภาฯ เพื่อตราออกมาเป็นกฎหมายควบคุมการใช้กัญชา กัญชงในประเทศไทยต่อไป
ทว่าในระหว่างช่องว่างกฎหมายนี้ “ประชาชนไม่น้อย” ซื้อต้นกัญชามาปลูกในครัวเรือน “เพื่อบริโภคอย่างกว้างขวาง” ทำให้มีข่าวเยาวชนแอบสูบเสพกัญชาเพราะเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า “ปลดล็อกกัญชาแล้วไม่เป็นยาเสพติด และไม่ผิดกฎหมาย” นำมาซึ่งผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ถูกหามส่งโรงพยาบาลรายวัน
กลายเป็นความกังวลให้หลายภาคส่วนต่อผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ “กระทรวงสาธารณสุข” จึงออกประกาศควบคุมการใช้กัญชาไม่เหมาะสม “เน้นพื้นที่สาธารณะ” หากก่อเกิดกลิ่นควันสร้างความรำคาญเข้าข่ายความผิด! พร้อมกำหนดให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีตั้งครรภ์ และสตรีให้นมบุตร
ความเสี่ยงการใช้กัญชาไม่เหมาะสมนี้ ดร.ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์วิทยาลัยเภสัชกรรมสมุนไพรแห่งประเทศไทย บอกว่า สาเหตุผู้ใช้กัญชาจนเป็นการเสพติดมาจากสาร Tetrahydro cannabinol หรือ THC เรียกว่าสารเมา มักอยู่ในดอกกัญชาไทยเพศเมีย 5-15% ถ้ากัญชานำเข้าต่างประเทศ 30%
...
เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย “ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท” ช่วงแรกจะร่าเริง อารมณ์ดีมีความสุข แต่พอใช้มากขึ้นกลายเป็น “กดประสาท” มีอาการเมาเซื่องซึมง่วงนอน สุดท้ายเข้าสู่ภาวะหลอนประสาทหูแว่วตามมา แล้วยิ่งเป็น “การสูบเพื่อสันทนาการด้วยวิธีโดยตรงหรือผ่านไอน้ำ” เป็นการสูดควันเข้าสมองทำให้พัฒนาการช้าผิดปกติ
เยาวชนยิ่งมีความเสี่ยงเสพติดกระทบระยะยาว และควันกัญชาก็ไม่ต่างจากบุหรี่ที่ระคายเคืองปอด
ย้ำว่าแม้ “กัญชาปลดล็อกไม่ใช่ยาเสพติด” ในแง่คำนิยามการเสพติดใช้ต่อเนื่องมักเป็น “กัญชาดิเพนเดนต์ (dependent)” ที่ต้องการเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีระดับการใช้ที่สูงกลายเป็นพิษกระทบต่อร่างกาย แล้วกระบวนการเลิกเสพติดในต่างประเทศมีการศึกษา 2 เรื่อง คือ ความพยายามและความตั้งใจเลิกของบุคคลนั้น
แต่ด้วยผู้เสพมานานร่างกายปรับเปลี่ยนเป็นตอบสนอง (response) ทำให้จิตใจอ่อนแอไม่อาจเลิกได้
สัญญาณบ่งชี้ “กรณีติดกัญชา” มิอาจระบุระดับให้เห็นได้แน่ชัด เพราะผู้เสพมีผลมากน้อยต่างกัน แล้วร่างกายแต่ละคนมีปฏิกิริยาต่อสาร THC ต่างกัน บางคนรับมากไม่เป็นไร บางคนรับน้อยมีอาการก็มี แต่ข้อสังเกตง่ายๆ คือ “อาการขาดยา” ถ้าไม่ได้รับยาจะหงุดหงิด น้ำตาไหล และบางคนสั่น เมื่อรับแล้วอาการขาดยาจะหายดีขึ้น
กรณีมีผู้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลฯ “ใช้กัญชาไม่มีผลข้างเคียง หรือไม่มีอาการเสพติด” ความจริงสิ่งนี้เกิดขึ้น “เฉพาะคนกลุ่มเล็กๆ” ตามหลักวิชาการที่เคยมีการเก็บข้อมูลผ่านงานวิจัยทั่วโลกระบุตรงกันว่า “ผู้ใช้กัญชามีโอกาสเสพติดได้เสมอ” ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้รักษาโรคควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ดีที่สุด
เพราะบุคลากรทางแพทย์เป็นผู้เชี่ยวชาญมีวิธีสังเกตระดับการพึ่งยา ถ้าหากต้องพึ่งพิงมากไปจนมีความเสี่ยงแล้วมักจะถอนยาปรับลดขนาดลง พร้อมประเมินอาการเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เกิดการลงแดงขาดยารุนแรง
แต่ตามหลักทางการแพทย์ “การใช้ยากัญชาแก่ผู้ป่วย” มักเป็นทางเลือกสุดท้ายด้วยการพิจารณาประโยชน์มากกว่าโทษเป็นสำคัญ ส่วน “ประชาชนหาซื้อกัญชาใช้เอง” ควรใช้เท่าที่จำเป็นรักษาตามอาการของโรค หากใช้นันทนา การความบันเทิง “ไม่แนะนำทุกกรณี” เพราะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ
เรื่องนี้ “กฎหมายควบคุมการใช้กัญชาเป็นสิ่งจำเป็น” เพื่อกำหนดการใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างเหมาะสม หรือพัฒนากัญชาให้เป็นพืชเศรษฐกิจสามารถสร้างรายได้ต่อเกษตรกรต่อไป
อีกมาตรการคือ “ส่วนร่วมของสังคม” เพื่อช่วยกันสอดส่องดูแลกัน โดยเฉพาะผู้ปกครองต้องออกไปทำงานนอกบ้าน “ไม่มีเวลาดูแลบุตรหลาน” ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมลูกเปลี่ยนไปหรือไม่ แล้วบ้านใดมีลูกในวัยรุ่นไม่แนะนำให้ปลูกกัญชาไว้ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรหาซื้อผลิตภัณฑ์ หรือขอรับยาในโรงพยาบาลที่มีบริการให้อยู่แล้ว
ดังนั้น “ไม่จำเป็นต้องปลูกพืชกัญชาที่บ้าน” เพราะเสี่ยงต่อลูกหลานนำไปใช้ไม่เหมาะสมเป็นอันตราย “ไม่คุ้มค่า” ที่แน่ๆ “เยาวชนเสพกัญชา” กระทบต่อพัฒนาการทางสมองถูกทำลายหลายส่วน ด้วยในวัยเด็ก-อายุ 25 ปีนี้ “เป็นช่วงสมองพัฒนาการ” ทั้งการวิเคราะห์ ความจำ การสร้างสมดุล การทรงตัวของร่างกาย
ถ้าใช้กัญชาไม่เหมาะสม “ย่อมสูญเสียกระบวนการทางความคิด วิเคราะห์” มีผลต่อการทำงานอย่างมากที่กลายเป็นว่า “ประเทศไทย” มีแรงงานไร้คุณภาพทางความคิดวิเคราะห์ กระทบต่อการพัฒนาประเทศก็ได้
เมื่อเปรียบเทียบกับ “ประเทศเปิดเสรีกัญชา” ส่วนใหญ่ก็มีมาตรการทางกฎหมายในการกำหนดกฎเกณฑ์การใช้กัญชาชัดเจน เช่น กำหนดพื้นที่สูบ หรือพื้นที่ห้ามสูบ ถ้าพบเห็นผู้ใช้ไม่เหมาะสม ไม่ถูกที่ไม่ถูกทาง สามารถแจ้งภาครัฐดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งยังทำควบคู่การให้ความรู้ และการมีส่วนร่วมของคนในสังคมด้วย
ส่วน “ประเทศไทยการใช้กัญชาเป็นเรื่องใหม่” เบื้องต้นก็ประกาศใช้ พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ “ห้ามการสูบเสพในพื้นที่สาธารณะ” ผู้ใดฝ่าฝืนอาจจะมีโทษทั้งจำและปรับ ยกเว้นการสูบในบ้านที่ยังไม่มีข้อกฎหมายเข้ามาบังคับใช้ ฉะนั้น ประชาชนอาจต้องพิจารณาความเสี่ยงกับประโยชน์ในการปลูกกัญชาใช้เองนี้ด้วย
ตอกย้ำความห่วงใยว่า “ปกติผู้เสพกัญชา” มักไม่ก่อให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงมากเท่ายาเสพติดในกลุ่มเฮโรอีน ยาบ้า ยาอี เว้นแต่เสพร่วมกับยาเสพติดประเภทอื่น โดยเฉพาะยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้กระตุ้นเสริมฤทธิ์แรงมากขึ้น 2-3 เท่า สิ่งสำคัญยังเป็นประตูก้าวสู่การเสพยาเสพติดอื่นที่ร้ายแรงกว่าได้ด้วย
เคยมีผลสำรวจคนไทยส่วนหนึ่งเสพยามากกว่า 1 ชนิด ถ้าหายานี้ไม่ได้ก็ใช้ตัวอื่น บางคนใช้ร่วมกันก็มี
“ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าข้อมูลจากภาครัฐส่งไม่ถึงชาวบ้าน ทำให้หลงเชื่อข่าวลวงบนโซเชียลฯ แชร์ต่อโดยไม่ตรวจสอบกลายเป็นเข้าใจผิดกันเยอะ ดังนั้น ผู้ใช้ประโยชน์จากกัญชาควรตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดก่อน เพราะปลดล็อกกัญชาครั้งนี้ภาครัฐมิได้หวงห้าม แต่อยากให้ใช้อย่างเข้าใจเกิดประโยชน์สูงสุด” ดร.ภญ.ผกากรองว่า
ประเด็น “นำกัญชาประกอบปรุงอาหาร” เรื่องนี้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม “ช่วยประโยชน์ปรับทิศทางลมในร่างกาย” คนสมัยก่อนใช้ใบกัญชาสดไม่เกิน 5-8 ใบ นำมาใส่ในอาหารประเภทเครื่องเทศ
ปัจจุบันนี้ “หลายคนหันมานำใบกัญชาสดใส่ปรุงอาหารเพื่อให้เจริญอาหารดีขึ้น” แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกินทุกวัน “ขึ้นอยู่กับว่าหามาได้ก็กินหาไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” เพราะเรื่องนี้ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ชัดเจน
และถามว่า...“มีโอกาสเสพติดได้หรือไม่” ตามหลักกลไกด้านเภสัชวิทยาแล้ว การนำใบกัญชาใส่ปรุงอาหารรับประทานเป็นเสมือนนำตัวกระตุ้นเข้าไปสู่ตัวรับในร่างกายปรับตัวให้เกิดความต้องการสารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “เพื่อกระตุ้นการกินอาหารให้อร่อย” สุดท้ายอาจกลายเป็นเปิดช่องโอกาสให้เสพติดเกิดขึ้นก็ได้
หากนำมาเทียบกัน “การเสพ หยดใต้ลิ้น กินดอกกัญชา” มีโอกาสเสพติดได้น้อยกว่าอยู่แล้ว
ล่าสุดกรมอนามัยออกข้อกำหนดให้ “ร้านอาหารต้องมีคำเตือนให้ผู้บริโภคทราบ” แนะนำใช้ใบกัญชามาปรุงอาหาร 1-2 ใบ/เมนู แล้วเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชาและสตรีมีครรภ์ให้นมบุตร ผู้มีโรคประจำตัวไม่ควรรับประทาน ดังนั้น ถ้าปฏิบัติตามนี้จะมีความปลอดภัยดีที่สุด
ยกเว้น “ใช้ดอกกัญชามีสาร THC ออกฤทธิ์มึนเมาสูง” สามารถละลายสารในแอลกอฮอล์และน้ำมันได้ดี แล้วก็เห็นบางร้านมักนำดอกมาทอดเป็นน้ำมันปรุงอาหารหลายประเภท กลายเป็นสะสมสาร THC ปริมาณมากขึ้น ก็อาจก่อปัญหาผลข้างเคียงได้ ฝากไว้สำหรับ “ประชาชน” ต้องการนำกัญชาใส่อาหารควรใช้ใบเท่านั้น
สาเหตุปริมาณสาร THC น้อย แต่ว่าจำนวนน้อยนี้มีโอกาสเข้าไปกระตุ้นตัวรับในร่างกายได้เช่นกัน ฉะนั้น ดีที่สุด “อย่าบริโภคกัญชาทุกกรณี” เพราะบนโลกใบนี้มีอาหารอร่อยๆให้ได้กินกันอีกเยอะแยะมากมาย
เน้นย้ำว่า...ไม่แนะนำ...ไม่ส่งเสริมการใช้กัญชาเพื่อนันทนาการความบันเทิงทุกกรณี แล้วยิ่งเป็น “เด็กเยาวชน” ควรคำนึงถึงโทษพิษภัย และอันตรายให้มาก เพราะผลความคึกคะนองลองเสพเพื่อความสนุกเพียงครั้งเดียว...อาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้.