กรมอนามัย เตือน "กลุ่มเสี่ยง" หลีกเลี่ยงการควบคุมน้ำหนักด้วยการทำ IF พร้อมแนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ด้วยการเลิกกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์


วันที่ 29 มี.ค. 2565 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากกระแสข่าวของเด็กหญิงวัย 14 ปี ต้องการลดน้ำหนัก ด้วยการทำ Intermittent Fasting หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า IF โดยกินอาหารเพียง 1 ชั่วโมง ส่วนอีก 23 ชั่วโมง จะงดกินอาหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก จึงขอย้ำกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการทำ IF ได้แก่

1. เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี ไม่เหมาะที่จะทำ IF เนื่องจากการอดอาหารนานเกินไปจะยับยั้งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับกลไกการเจริญเติบโต และการยืดยาวของกระดูก

2. หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร เนื่องจากการอดอาหารระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลให้แม่และเด็กในครรภ์ขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโฟเลทและธาตุเหล็ก ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ รวมถึงหญิงให้นมบุตรที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทารกได้รับสารอาหารที่จำเป็น คือ น้ำนมแม่ ดังนั้นถ้าร่างกายคุณแม่ขาดสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามินและแร่ธาตุ ลูกก็จะขาดสารอาหารไปด้วยเหมือนกัน

3. คนที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคกระเพาะอาหาร การอดอาหารนาน จะทำให้อาการแย่ลงเพราะกรดในกระเพาะเพิ่มมากขึ้น โรคเบาหวาน เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสัมพันธ์กับอาหาร หากอดอาหารนานระดับน้ำตาลในเลือดต่ำมาก (Hypoglycemia) อาจเป็นอันตรายได้ ผู้ที่มีภาวะเครียดสะสม หรือผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมการกินอาหารผิดปกติ เช่น คลั่งผอม ล้วงคอ กินไม่หยุด เป็นต้น

สำหรับพฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติสัมพันธ์กับสภาวะจิตใจ ทำให้ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเรื่องอาหาร รูปร่าง น้ำหนักตัว ส่งผลให้เกิดโรคตามมา เช่น โรคขาดสารอาหาร โรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร หากมีอาการรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีอาจทำให้เสียชีวิตได้

...

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่ต้องระวังในการทำ IF ได้แก่ บุคคลที่มีรูปแบบการทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวันไม่แน่นอน เช่น บุคคลที่จำเป็นต้องพบปะผู้คนตลอดวัน บุคคลที่มีช่วงเวลาทำงานหลากหลาย (เข้าเวร) ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากการอดอาหารนานเกินไปอาจส่งผลกับการมีรอบเดือนได้

ทั้งนี้ สำหรับผู้ชายวัยทำงานที่ไม่มีปัญหาสุขภาพ กลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงหากสามารถบริหารจัดการเวลาได้ ไม่กระทบกับการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวัน หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ และต้องการค้นหาวิธีใหม่ในการดูแลรูปร่าง โดยเลือกใช้วิธี IF ควรปฏิบัติและมีข้อระมัดระวัง ดังนี้

1. ผู้ที่เริ่มต้นแนะนำให้เริ่มอดอาหาร 12 ชั่วโมง โดยเลื่อนการกินมื้อแรกให้ครบ 12 ชั่วโมงจากมื้อสุดท้ายของวันก่อนหน้า แล้วค่อยๆ เลื่อนออกไปทีละชั่วโมงในสัปดาห์ถัดไป

2. ควรเริ่มจากงดอาหารเช้า เพราะหากงดอาหารเย็น ตื่นขึ้นมาอาจจะมีอาการหิวได้ง่ายกว่า

3. สามารถออกกำลังกายในช่วงการทำ IF ได้ตามปกติ

4. ควรจัดสรรเวลาการอดอาหารให้เหมาะสมกับกิจกรรมประจำวัน โดยคำนึงถึงเวลาการทำงานเป็นหลัก

5. เมื่อเราเกิดความชำนาญมากขึ้นสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำ Fasting ได้ตามความเหมาะสม

6. ต้องบริโภคอาหาร เพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารเพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ

7. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ

8. หากไม่ไหว อย่าฝืน เพราะหากร่างกายยังไม่พร้อมก็อาจก่อให้เกิดผลเสียกับสุขภาพตามมาได้

9. สภาพร่างกายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งตรวจร่างกายก่อนเสมอ อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ทางด้าน ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวว่า การทำ IF ในบางรายอาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม จึงแนะนำให้เปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ด้วยการเลิกกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรืออาหารที่ให้โทษต่อร่างกาย เช่น ของมัน ของทอด ของหวาน ขนมกรุบกรอบต่างๆ และเมื่อกินอาหารแต่ละมื้อให้ลดเค็ม หรือโซเดียมให้น้อยลง ลดหวานโดยเฉพาะน้ำตาล ไม่กินจนอิ่มแน่น เลือกอาหารที่มีแคลอรีต่ำ โปรตีนสูง เช่น ข้าวไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื่องจากมีไขมันน้อยและย่อยได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม ควรหันมาเลือกเมนู ต้ม นึ่ง ย่าง และเพิ่มผัก ผลไม้ เข้าไปในทุกมื้อจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ ออกกำลังกายเป็นประจำ และดื่มน้ำเปล่าสะอาด รวมถึงพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อให้การดูแลสุขภาพเป็นพฤติกรรมสุขภาพที่ยั่งยืนควรปลูกฝังตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุแบบเป็นสังคมที่มีสุขภาพดีระยะยาวต่อไป.