แม่ยืนยันไม่โอนคดี "แตงโม" ไปดีเอสไอ บอกอยากให้รอตำรวจแถลงสรุปคดี เชื่อมีหลักฐาน ทวงสัญญา "ปอ" สึกแล้วต้องสารภาพความจริง ยันยังไม่ได้เงินเยียวยาสักบาท

เกี่ยวกับกรณี การตกเรือสปีดโบ๊ตเสียชีวิตของนักแสดงสาว แตงโม นิดา ซึ่งผ่านมาเกือบเดือนแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน และสืบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง ซึ่งเมื่อช่วงเช้าวันนี้ นางสาวรสนา โตสิตระกูล และ นายนิติธร ล้ำเหลือ กลุ่มประชาชนคนไทย ยื่นหนังสือให้ดีเอสไอ รับคดีแตงโมเป็นคดีพิเศษ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น


วันที่ 22 มี.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายเดชา ซึ่งเป็นทนายในคดีนี้ ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก นางภนิดา คุณแม่ของแตงโม ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับกรณีที่มีบุคคลไปยื่นหนังสือที่ดีเอสไอ ขอโอนคดีแตงโม ไปยังดีเอสไอ ซึ่งก่อนเริ่มการแถลงข่าว ทนายเดชา ได้ต่อสายหา นางภนิดา เพื่อให้ร่วมชี้แจงในประเด็นนี้

นางภนิดา เผยว่า แม่เห็นข่าวทางสื่อ เกี่ยวกับกรณีที่มีการไปยื่นดีเอสไอ ให้โอนคดีแตงโมไปที่ดีเอสไอ ซึ่งแม่ไม่รู้มาก่อน ขณะที่ ส.ส.เต้ ก็เคยมาปรึกษาว่าจะโอนคดีนี้ไปยังดีเอสไอไหม แต่แม่ได้ตอบ ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะเชื่อว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำคดีนี้มาใกล้จะจบแล้ว และเห็นด้วยตาตัวเอง มั่นใจในตำรวจที่ทำคดีแตงโม ว่าทำอย่างละเอียด รอบคอบ จึงไม่อยากให้หน่วยงานอื่นที่จะเข้ามาทำให้คดีนี้ยุ่งเหยิงหรือวุ่นวาย 

ส่วนเรื่องความหวังดี แม่เข้าใจ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำด้วยความรอบคอบและจะจบแล้ว แต่ถ้าต้องมาเริ่มใหม่ อาจทำให้เกิดความยุ่งเหยิง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรแอบแฝง เพราะคดีนี้ไม่น่าจะมีอะไรแอบแฝง แค่ 5 คนบนเรือ ซึ่งก็ต้องไปบี้ 5 คนบนเรือ ซึ่งเรื่องทางกฎหมาย ก็ได้มอบหมายให้ทนายเดชา จัดการแต่เพียงผู้เดียว แม่ไม่มีสิทธิ์ไปออกความเห็น หรือแนะนำได้ ซึ่งคงไม่ได้มีการฟ้องร้องอะไร แค่ไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง 

ขณะที่หากใครมีหลักฐานเพิ่มเติม ก็สามารถนำมามอบให้ทางทนายเดชา ได้ แต่ก็เชื่อว่า เวลามันผ่านมานานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีหลักฐานอะไรอีก 


...


เมื่อถามว่า กรณีที่มีคลิปที่ออกมาระบุว่า เห็นแตงโม ว่ายเข้าฝั่ง นางภนิดา บอกว่า ตนก็ดูอยู่ แต่ว่ายน้ำครึ่งชั่วโมง เข้าฝั่งด้วยตัวเอง แล้วเรือผ่านไปก็ไม่ช่วย ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เศร้าใจที่เรือผ่านไปแล้วไม่ช่วยชีวิตลูกเรา แต่ตรงๆ คิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง น้องโม มีบาดแผลเยอะ ประกอบกับดื่มแอลกอฮอล์ จะมีแรงว่ายน้ำได้ขนาดนี้จะเป็นไปได้หรือ ซึ่งเขาก็ทำในนาม ส.ส. เรื่องหาแสงคงไม่เกี่ยว เพราะเขาคงมาช่วย ส่วนคนที่ไปยื่นหนังสือที่ดีเอสไอ ก็ขอให้หยุด เพราะตำรวจมีหลักฐานในมือ ที่ยังพูดไม่ได้ อยากให้รอวันแถลงข่าว แล้วจะช็อก ซึ่งแม้ตัวเองจะยังไม่ได้เห็นหลักฐาน แต่เห็นว่าสำนวนเยอะไปหมด คดีมันกำลังจะจบแล้ว แม่คงไม่ยอมให้ไปขุดขึ้นมา ไม่อยากให้มองเป็นคดีร้ายแรง ซึ่งตนตัดสินใจเอง หลังจากที่เห็นข่าวคนที่มาเสนอให้ดีเอสไอเข้ามาช่วย จึงโทรปรึกษาทนายเดชา 

ส่วนเรื่องการนำทั้ง 5 คนเข้าเครื่องจับเท็จ นางภนิดา บอกว่า อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะอีก 3 คน คือ จ๊อบ กระติก แซน ยังไม่ยอมพูดว่าเกิดอะไรบนเรือ หรือสารภาพอะไรออกมา แตงโมถึงได้ตกน้ำ แม่เชื่อว่า มีคนรู้ คนเห็น แต่กลับปิดปากเงียบสนิท แม่ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรที่ทำให้เขาพูดไม่ได้ ซึ่งก็เชื่อว่ารู้เห็น แต่มีสิ่งซ่อนเร้น แต่ไม่สามารถพูดได้ ก็อาจจะได้ผลประโยชน์ ซึ่งตอนนี้ก็มีแค่ข่าวออกมา ยังไม่มีใครแจ้งว่าจะมีการนำทั้งหมดเข้าเครื่องจับเท็จ

นางภนิดา ยังบอกด้วยว่า จำได้ที่ปอเคยบอกไว้ว่า ผมบวชเสร็จแล้วจะสารภาพทั้งหมด คำนี้ที่แม่จำ และจะคอยดูว่าเขาจะสารภาพอะไร ซึ่งช่วงที่เขาไปบวช ก็ไม่ได้มีการติดต่อพูดคุยกัน เพราะเขาห้ามใช้โทรศัพท์

ส่วนกรณีที่โซเชียลสงสัยว่า แม่รับเงินมาจากปอ และโรเบิร์ตแล้วหรือไม่ นางภนิดา ยืนยันว่า แม่ไม่ได้สักบาท กว่าแม่จะได้เงินจากตรงนี้ มีขั้นตอนเยอะมาก เราต้องฟ้องร้อง เรียกร้องกันในศาล ไม่ใช่มาคุยกันเอง ซึ่งทนายก็ต้องไปว่าความให้ และจะตกลงกันที่ตรงไหน แม่ก็ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย

นางภนิดา บอกทิ้งท้ายว่า อยากขอบคุณสื่อที่ติดตามตนมาตลอด ขอบคุณตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ทุกท่าน ซึ่งทุ่มเททำงาน และขอบคุณทุกคนที่ยังรัก และอยากเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นกับลูกสาว แม่ว่าเราจะได้ความเป็นธรรมแน่นอน อย่าเพิ่งคิดกันไปเอง ขอให้รอการแถลงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน ซึ่งอาจจะมีข้อมูลที่ลึก ที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ ต้องให้เกียรติตำรวจด้วย ส่วนกลุ่มเพื่อนทั้ง 5 คน ฝากไปที่ปอ ว่าแม่จำได้ว่า สึกออกมาแล้วจะสารภาพ แม่ก็จะรอ เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดจะกระจ่าง เพราะเขาก็เป็นสุภาพบุรุษ



ขณะที่ ทนายเดชา ระบุว่า เรื่องที่มีคนเข้าไปยื่นเรื่องที่ดีเอสไป ก็เป็นสิทธิ์ของทุกคน แต่โดยหลักแล้ว คนที่จะไปยื่นเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเป็นผู้เสียหาย คดีนี้ผู้เสียหายคือ คุณแม่ ซึ่งก็ต้องดูว่าแม่ไม่พอใจการทำงานของตำรวจหรือไม่ ซึ่งหากผู้เสียหายไม่ประสงค์ ก็ไม่ควรนำเข้าไปพิจารณา ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็จะทำคดีพิเศษ คดีนี้เป็นแค่ประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไม่ใช่คดีอาชญากรรมร้ายแรง เป็นขบวนการ ที่มีผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยว ฯลฯ

แต่หากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไม่คิดว่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้อีก ตนก็คิดว่าไม่น่าจะทัน เพราะจะสรุปคดีภายในสิ้นเดือนนี้ ที่สำคัญผู้เสียหายไม่มีความประสงค์ ยังคิดอยู่ว่าจะทำหนังสือถืออธิบดีดีเอสไอ ว่าลูกความของตนไม่มีความประสงค์ที่จะนำคดีเข้าเป็นคดีพิเศษ

ส่วนเรื่องของเครื่องจับเท็จ ทนายเดชา ระบุว่า เพิ่งได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจาก ผู้กำกับสืบภาค 1 ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้ แจ้งว่า หลักการเงื่อนไขการนำพยาน หรือผู้ต้องหา เข้าเครื่องจับเท็จ 1. ข้อมูล พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ การตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ต้องเสร็จสิ้นก่อน ทุกวันนี้ยังไม่เสร็จสิ้น 2. บุคคลที่จะนำเข้าเครื่องจับเท็จ ต้องไม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ตั้งครรภ์ หรือบุคคลวิกลจริต 3. ผลการตรวจจากเครื่องจับเท็จ ศาลรับฟังหรือตัดสินไม่ได้ เพียงแค่นำมาประกอบการสืบสวนเท่านั้น ซึ่งจะใช้ในการสืบสวนเท่านั้น แต่ถ้าแม่มีความประสงค์ ตนก็จะแจ้งไปยังตำรวจที่รับผิดชอบ ส่วนรายละเอียดลึกๆ ไม่ขอตอบ เพราะเป็นเทคนิคของตำรวจ

เมื่อถามถึงหลักฐานใหม่ของ ส.ส.เต้ ทนายเดชา บอกว่า ตกใจนะ แล้วทำไมพยานที่รู้เห็นไม่มาพบพนักงานสอบสวนแต่แรก ไม่รู้ ส.ส.เห็นเองหรือเปล่า ซึ่งจะได้โทรสอบถาม ว่ามีพยานคนไหนเห็น จะได้พาไปพบหนักงานสอบสวน ถ้าไม่จริง ก็คงต้องถามว่า ท่าน ส.ส. ทำไปเพื่ออะไร