เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง มีข่าวว่าบุคคลกลุ่มหนึ่งได้เปิดห้องสนทนาใน “คลับเฮาส์” พูดจาแสดงความคิดเห็นกันในกลุ่ม ดูถูกดูหมิ่นพี่น้องชาวอีสานอย่างรุนแรง

เกิดเป็นประเด็นดราม่า ตำหนิบุคคลกลุ่มที่ว่านี้อย่างกว้างขวางส่งผลให้แฮชแท็ก #คลับเฮ้าส์toxic ติดเทรนด์ไปเลยทีเดียว

ผมเองไม่มีโอกาสฟังคำพูดจาในคลับเฮาส์นี้โดยตรงแต่เท่าที่อ่านจากตัวอย่างที่ยกมาก็รู้สึกว่าเป็นคำดูถูกดูหมิ่นที่รุนแรงมาก...แรงจนอดคิดไม่ได้ว่าคนไทยรุ่นใหม่ของเราเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

มีความรู้สึกเกลียดชังคนอื่น ซึ่งก็เป็นคนไทยด้วยกันขึ้นมาได้อย่างไร? ความโอบอ้อมอารี และการมองเพื่อนร่วมชาติจากภาคอื่น จังหวัดอื่น ด้วยความรัก ความเข้าใจ...หายไปไหนหมด?

แต่เมื่อมาคิดอีกที คิดแบบลึกๆ และมีสติก็จะพบความจริงว่า บุคคลในคลับเฮาส์ที่ว่านี้คงจะมีไม่มาก เท่าที่เป็นข่าวจำนวนคนเข้าไปพูดจาแสดงความเห็นก็น่าจะมีแค่สิบหรือแค่ร้อยเท่านั้น

ถือว่าเป็นส่วนน้อยมากหรือแค่เศษธุลีดินเท่านั้นเมื่อเทียบกับประชาชนส่วนใหญ่ 66 ล้านคนของประเทศ

ซึ่งบุคคลประเภทที่ว่านี้...คือที่คิดอย่างขวางโลก อย่างเกลียดชัง อย่างหงุดหงิดตลอดเวลา มองโลกแง่ร้ายและอารมณ์ร้ายตลอดเวลานั้นก็มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แม้ในยุคที่สังคมไทยเราดูเหมือนว่าจะอยู่กันด้วยความสุข ความอบอุ่น รักใคร่ กลมเกลียวกันมากในอดีต...ก็มีครับ

เผอิญว่าในยุคโน้นระบบสื่อสารหรือสื่อสารมวลชนทั้งของเราและของโลกยังไม่กว้างขวางไม่ไร้พรมแดนไร้ขีดจำกัดจนยากแก่การควบคุมได้อย่างในยุคนี้

เวลาพวกคนกลุ่มน้อยที่มองอะไรร้ายและรุนแรงไปหมดในยุคโน้นจะระบายถึงธาตุแท้ของเราออกมาก็จะต้องใช้วิธีส่งจดหมายไปถึงหนังสือ พิมพ์บ้าง ไปโฟนอินทางวิทยุทางโทรทัศน์บ้าง

...

ซึ่งบรรดาสื่อสาธารณะเหล่านี้เขาก็จะสกัดไว้...ใครไปพูดจาโฟนอินแบบหยาบคายหรือหมิ่นเหม่ ทางสถานีเขาก็จะตัดออกหมด เพราะมีระบบ “ดีเลย์” อยู่แล้ว

หรือเวลาส่งจดหมายมาที่สำนักพิมพ์ต่างๆ หนังสือพิมพ์เขาก็จะกลั่นกรองไม่เอาลงหรือหากเอาลงก็จะตัดถ้อยคำแรงๆออกไป

ผมเองก็เคยได้รับจดหมายประเภทย่อหน้าที ยก “อวัยวะเพศชาย” ให้ที เป็นหลายสิบฉบับในยุคก่อน

ทั้งยกให้แก่ผู้ใหญ่ ผู้บริหารในบ้านเมือง หรือใครก็ตามที่เป็นข่าวและเขาเกลียดชัง...หรือบ่อยครั้งก็ยกให้ผมด้วยเลย ไม่รู้โกรธอะไรผมเข้า

ผมก็โยนลงตะกร้าไปไม่นำมาลงตีพิมพ์

ท่านผู้อ่านทั่วไปจึงไม่มีโอกาสรู้ว่าจริงๆแล้วคนไทยที่คิดในแง่ร้ายมองโลกในแง่ร้าย เห็นคนอื่นแย่กว่าตัวนั้นความจริงก็มีอยู่ทุกสมัย เพียงแต่ไม่มากนักและส่วนใหญ่สื่อก็จะช่วยสกัดก้ันไว้ให้

ต่างกับยุคนี้ใครคิดอะไรก็โพล่งออกมาทางโซเชียลมีเดียแผล็บเดียว ก็รู้กันทั่วเมือง

คำด่าทอก็หยาบกร้านมาก....สาวๆแส้ๆ ดาราหน้าตาดีๆ รวมไปถึงนางงามล้วนด่าเป็นไฟแลบ ทำให้คำหยาบที่เวลาส่งมาถึงสื่ออย่างพวกผม พวกผมจะโยนทิ้งหมดนั้นหลุดออกมาในโซเชียลหลายครั้ง

แต่ในภาพรวมผมก็ยังเห็นว่าคนที่คิดร้ายๆ พูดจาร้ายๆ ดังเช่นที่ไปพูดกันในคลับเฮาส์ดังกล่าว...ยังเป็นส่วนน้อยของสังคมไทย

เมื่อพูดออกมาแล้วโดนผู้คนส่วนใหญ่ตำหนิอย่างแรงเป็นการตอบโต้ก็คงจะได้สำนึกและเลิกราไปในที่สุด

ที่กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมสุขภาพจิตออกมาให้คำแนะนำแก่เด็กๆ และผู้ปกครองเด็กๆให้ใช้ความคิดในทางที่ดี รักใคร่คนอื่น ไม่ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ผมก็ขอขอบคุณและหวังว่าพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือคุณครูต่างๆ จะนำไปแนะนำสั่งสอนแก่เด็กๆ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

สำหรับผมแม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องของคนส่วนน้อย แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นเลยจะดีที่สุด จึงขอขอบคุณที่คนไทยส่วนใหญ่ออกมาช่วยกันประณามคลับเฮาส์ toxic หรือคลับเฮาส์ที่เป็นพิษไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง

หวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายนะครับ สำหรับประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุกคน.

“ซูม”