แม้จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม จะพุ่งขึ้นอีกถึง 427 ราย เป็นการติดภายในประเทศ 16 ราย เป็นผลจากการตรวจเชิงรุกแรงงานต่างด้าว 397 ราย และติดเชื้อในวันก่อนหน้านั้น 382 ราย แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสาธารณสุข ยืนยันไม่ใช่ “การระบาดระลอก 2”

เนื่องจากยังทราบแหล่งที่มาของแหล่งแพร่เชื้อได้ แม้จะตรวจพบผู้ติดเชื้อในอีกหลายจังหวัด (นอกจากสมุทรสาคร) ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไปซื้ออาหารทะเลจากตลาดแพกุ้งสมุทรสาคร ยิ่งกว่านั้น ทางการยังจะขยายการตรวจไปอีก 7 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี และนครปฐม

จะเรียกว่าการแพร่ระบาดรอบใหม่ หรือเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่าอาจทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่พรรคฝ่ายค้านถือเป็นเรื่องใหญ่ พรรคเพื่อไทยเตรียมนำปัญหานี้เป็นหัวข้อหนึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย แถลงว่าการระบาดรอบใหม่จากการนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่ไร้มาตรการควบคุม เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีส่วนรู้เห็น หรือมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย พร้อมทั้งเรียกร้องรัฐบาลให้แก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ใช่ขู่จะล็อกดาวน์ ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ

โฆษกพรรคเพื่อไทยระบุว่าที่สมุทรสาคร มีแรงงานต่างด้าวลงทะเบียน 1.2 ล้านคน ไม่ลงทะเบียน 1.8 ล้านคน 80% เป็นแรงงานพม่า และตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นอีกช่องหนึ่งของการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือไม่ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องแรงงานต่างด้าวยอมรับว่า มีการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

แต่ไม่มีใครกล้าระบุว่ามีการสมคบคิด นำแรงงานผิดกฎหมายเข้าประเทศ ถ้าเป็นจริงต้องถือเป็นเรื่องร้ายแรง อาจเข้าข่ายความผิดฐานค้ามนุษย์ ที่เคยเกิดขึ้นในภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน มีการลักลอบนำชาวโรฮีนจาจากพม่าเดินทางผ่านไทยต่อไปยังมาเลเซีย มีนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการถูกจับกุม ดำเนินคดีติดคุกหลายสิบราย

...

การแพร่ระบาดของโควิดรอบแรก เป็นการติดเชื้อจากผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีน แต่การระบาดรอบใหม่มาจากแรงงานต่างด้าว หวังว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับความโลภเห็นแก่ได้ของเจ้าหน้าที่รัฐ ท่ามกลางการทุจริตใหม่ๆ ที่กำลังเฟื่องฟู เช่น การทุจริตโครงการ “เที่ยวด้วยกัน” กินด้วยกัน และโครงการยอดฮิต “คนละครึ่ง”.