คลังใจดี คืนสิทธิ์ "ชิมช้อปใช้" เฟส 1 และ 2 ให้กับผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ ใช้เงินไม่ทันในเวลา 14 วัน จำนวน 1.1 ล้านราย ใช้จ่ายผ่านกระเป๋าเงินช่องที่ 2 ได้ทุกจังหวัด

วันที่ 6 ธ.ค.62 นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ สศค. ได้คืนสิทธิ์ให้กับผู้ที่ถูกตัดสิทธิ์ในมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ที่ไม่สามารถเริ่มใช้สิทธิ์ได้ทันภายใน 14 วัน หลังจากได้รับข้อความ SMS ยืนยันสิทธิ์ ทั้งเฟสแรก และเฟสที่ 2 จำนวนทั้งสิ้น 1.1 ล้านราย เนื่องจากตามหลักเกณฑ์เดิมจะต้องใช้สิทธิ์ชิมช้อปใช้ในจังหวัดไม่ใช่ภูมิลำเนาตัวเองจึงทำให้มีประชาชนบางส่วนใช้สิทธิ์ไม่ทัน

ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกคืนสิทธิ์จำนวน 1.1 ล้านราย จะสามารถใช้กระเป๋าเงินช่องที่ 2 ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งมีการคืนเงินให้ 15% หากยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท และคืนเงินให้ 20% หากยอดใช้จ่ายเกิน 30,000 แต่ไม่เกิน 50,000 บาท คืนเงินสูงสุดรวมกัน 8,500 บาทเท่านั้น โดยประชาชนสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ทุกจังหวัด แม้จะเป็นจังหวัดที่อยู่ในภูมิลำเนาตัวเองจนถึงวันที่สิ้นสุดโครงการ 31 ม.ค.2563 เพียงแต่ครั้งนี้จะไม่ได้รับสิทธิ์ในกระเป๋าเงินช่องที่ 1 จำนวน 1,000 บาทแล้ว

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่เคยผ่านการยืนยันตัวตนจากการกรอกข้อมูลส่วนบุคคลและถ่ายรูปเปรียบเทียบใบหน้าในแอปพลิเคชันเป๋าตังแล้ว สามารถใส่รหัสเดิมที่เคยได้รับ เพื่อเปิดใช้งานในแอปพลิเคชันและรับสิทธิ์ได้ทันที ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้ายืนยันตัวตน จะต้องดำเนินการยืนยันตัวตนตามขั้นตอนในแอปพลิเคชันเพื่อรับสิทธิ์ดังกล่าวอีกครั้ง

"ส่วนการลงทะเบียนของผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในชิมช้อปใช้เฟส 3 ขณะนี้ปิดรับการลงทะเบียนไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นสรุปยอดผู้สูงอายุมาลงทะเบียนทั้งหมด 280,000 ราย จากเป้าที่วางไว้ 500,000 ราย อย่างไรก็ตาม สิทธิ์ที่เหลืออยู่จำนวน 220,000 ราย กำลังพิจารณาว่า จะนำกลับเข้ามาในระบบเพื่อให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียนเพิ่มเติมหรือไม่"

...

ขณะที่ยอดใช้จ่ายของประชาชนในมาตรการชิมช้อปใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. จนถึงวันที่ 5 ธ.ค. 2562 มีผู้ใช้สิทธิ์รวม 3 เฟส เป็นจำนวน ทั้งสิ้น 11 ล้านราย มีการใช้จ่ายรวมประมาณ 19,233 ล้านบาท แบ่งเป็น ใช้จ่ายจากกระเป๋าเงินช่องที่ 1 ซึ่งรัฐบาลให้เงิน 1,000 บาท จำนวน 11,633 ล้านบาท และกระเป๋าเงินช่องที่ 2 จำนวนกว่า 7,600 ล้านบาท

"ประชาชนเริ่มใช้เงินผ่านกระเป๋าเงินช่องที่ 2 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเดือน  พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมียอดใช้จ่ายสูงขึ้นมาก ดังนั้น การจะคืนเงินให้กับผู้ที่ใช้เงินในกระเป๋าเงินช่องที่ 2 ในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ จึงขอเวลาสรุปยอดการใช้จ่ายทั้งหมด ก่อนจะโอนเงินคืนให้ ซึ่งเรื่องนี้กรมบัญชีกลางจะเป็นผู้ดูแล"