หมอได้เรียนให้ทราบไปแล้วเกี่ยวกับการศึกษาที่พบว่า “ไขมันที่ว่าเลว ลดมากไป กลับเส้นเลือดแตกในสมอง” (ไทยรัฐหมอดื้อ 9 มิถุนายน 2562) ซึ่งมาจากการรายงานในวารสารทางสมองของสหรัฐฯ Neurology ในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นการติดตามข้อมูลผู้หญิงวัยกลางคนถึงอายุมากจำนวน 27,937 คน และติดตามไป 20 ปีโดยพบว่าถ้าลดไขมันไม่ดี (LDL) ให้น้อยกว่า 70 และลดไขมันที่ได้จากแป้งน้ำตาลของหวาน (triglyceride) มากเกินไปจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการที่เส้นเลือดในสมองแตกเพิ่มขึ้น 2.17 เท่า

การศึกษาล่าสุดนี้ตีพิมพ์ล่วงหน้าออนไลน์ ในวารสารฉบับเดิมในวันที่ 2 กรกฎาคม 2562 ยืนยัน ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น 65% ของการที่มีเส้นเลือดแตกในสมอง เมื่อลดระดับไขมันเลวลงไปน้อยกว่า 70 และความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มขึ้นถึง 169% ในกลุ่มที่ลดลงไปน้อยกว่า 50 เมื่อมาเทียบกับกลุ่มที่มีระดับอยู่ที่ 70 ถึง 99

คณะผู้ทำการศึกษาได้ทำการติดตามประชากรในประเทศจีนเป็นจำนวน 101,510 คน (Kailuan study) โดยมีการรวบรวมประชากรในกลุ่มศึกษาระหว่างเดือนมิถุนายน 2006 และเดือนตุลาคม 2007 มีการตรวจร่างกายและตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการ และระดับไขมันชนิดต่างๆ พร้อมทั้งมีการสอบประวัติทางด้านสุขภาพสุขอนามัย ทั้งนี้ไม่ได้รวมคนที่เคยเป็นอัมพฤกษ์ โรคหลอดเลือดหัวใจตัน หรือมะเร็ง

...

หลังจากที่ตัดกลุ่มที่ได้ข้อมูลไม่ครบสมบูรณ์ไปแล้ว มีจำนวน 14% ใน 96,043 คน ที่มีระดับไขมันเลวอยู่ต่ำกว่า 70 และในระยะเก้าปีต่อมาพบว่า 753 ราย เกิดเส้นเลือดแตกในสมอง และในกลุ่มนี้มีจำนวน 179 ราย หรือเท่ากับ 24% ที่มีระดับไขมันเลวต่ำกว่า 70 ก่อนที่จะมีเส้นเลือดแตก

ทั้งนี้ได้ทำการปรับตัวควบคุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ การศึกษา อาชีพ สถานะของการออกกำลังกาย การกินเหล้าสูบบุหรี่ รวมกระทั่งถึงประวัติของการเจ็บป่วยที่จะโยงไปถึงการที่มีเส้นเลือดแตกในสมอง

ผลวิเคราะห์แสดงอัตรา adjusted hazard ratio ที่ 1.69 (95% confidence interval, 1.32-2.05) สำหรับความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดแตกในกลุ่มที่มีระดับไขมันเลวต่ำกว่า 70 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีระดับ 70 ถึง 99

และในกลุ่มที่มีระดับไขมันเลวระหว่าง 50 ถึง 69 จะมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงยิ่งสูงขึ้นไปอีก (HR, 2.69 ; 95% CI, 2.03-3.57)

และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือผลที่ได้รับไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงเมื่อได้ตัดกลุ่มที่ใช้ยาลดไขมันหรือใช้ยาละลายลิ่มเลือดออก

ความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดแตกในสมอง จะไม่ต่างกันระหว่างกลุ่มที่มีระดับไขมันเลวระหว่าง 70 ถึง 99 กับกลุ่มที่มีระดับ 100 หรือมากกว่า

ผู้วิจัยได้ให้ความเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างระดับไขมันที่ต่ำกับการเกิดเส้นเลือดแตกในสมองนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ทั้งนี้เนื่องจากไขมันคอเลสเทอรอล มีบทบาทที่สำคัญในโครงสร้างของผิวผนังเซลล์และการที่มีระดับไขมันต่ำมาก จะสามารถนำไปสู่การที่มีเม็ดเลือดแดงเปราะ นอกจากนั้นไขมันถึงแม้เรียกว่าเลวก็ตามยังมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการควบคุมการแข็งตัวของเลือด และที่สำคัญก็คือการสะสมตัวของโปรตีนอมิลอยด์ ในผนังเส้นเลือดสมอง ซึ่งในขณะนี้ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการอธิบายการเกิดเส้นเลือดแตก

จากข้อมูลดังกล่าว ผู้วิจัยได้ให้ความเห็นว่าระดับไขมันเลวที่อยู่ระหว่าง 70 ถึง 99 น่าจะเป็นทางสายกลางที่เหมาะสมทั้งในโรคเส้นเลือดตีบในหัวใจและสมอง โดยที่ไม่เกิดแตกมากขึ้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น น่าจะขึ้นอยู่กับคนไข้แต่ละคนในการที่จะบอกว่าระดับไขมันเลวควรจะอยู่ที่สูงหรือต่ำแค่ไหนโดยที่อาจยังเกี่ยวข้องกับสไตล์ของการดำเนินชีวิต ภาวะสุขภาพ โรคประจำตัว แม้กระทั่งเชื้อชาติ

ข้อจำกัดในการศึกษานี้ยังอยู่ที่ความแตกต่างในเรื่องของอาหาร ในเรื่องของพันธุกรรม ซึ่งเป็นประเด็นทำให้มีข้อโต้แย้งว่ามีการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าคนจีนมีความเสี่ยงที่จะเกิดเส้นเลือดตันและเส้นเลือดแตกในสมองโดยมีพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการศึกษานี้ทำในคนจีน การศึกษาก่อนหน้านั้นที่ได้กล่าวไปแล้วทำในคนอเมริกัน และได้ผลคล้ายคลึงกัน จุดเด่นของการศึกษาล่าสุดนี้อยู่ที่มีการวัดประเมินระดับของไขมันเลวหลายครั้งในช่วงระยะเวลาการติดตาม

ทีนี้เราจะทำอย่างไรถ้าลดมากไปก็แตก ถ้าสูงมากไปก็กลัวตีบ

สำหรับในเรื่องของตีบนั้น ความจริงเราก็ทราบมานานพอสมควรแล้วว่าเส้นเลือดตีบในหัวใจและสมองนั้นผู้ร้ายไม่ใช่เป็นเรื่องไขมันสูงอย่างเดียว หลักฐานที่พบว่าการใช้ยาลดไขมันสแตติน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจมีมาตั้งแต่ปี 1994 จนกระทั่งในปี 1997 และ 1998 มีการศึกษาใหญ่สองรายงานที่พบว่าความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันนั้น ตัวการใหญ่ก็คือเรื่องการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกายและถ้าสามารถลดการอักเสบนั้น ความเสี่ยงจะลดลง

ในปี 1998 ถึงได้มีการตระหนักว่ายาลดไขมันสแตติน ที่จริงแล้วมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและลดระดับไขมันเลวพร้อมกัน จนกระทั่งในปี 2008 ถึงได้มีการพิสูจน์ว่ายาลดไขมันช่วยป้องกันการเกิดเส้นเลือดตีบตันในคนได้จริง จากทั้งสองกลไกนี้

แต่ข้อมูลที่พิสูจน์ได้ชัดเจนถึงเรื่องการลดการอักเสบเฉยๆ โดยไม่ได้แตะต้องระดับของไขมันเลวก็สามารถป้องกันคนที่เคยมีเส้นเลือดหัวใจตันไปแล้วไม่ให้เกิดการตีบตันใหม่ได้อีกถึง 30% เพิ่งมาปรากฏในปลายปี 2017 นี้เอง

ดังนั้น ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือการปรับลดภาวะการอักเสบในร่างกายได้แก่อาหารการกิน ลดแป้งน้ำตาลของหวาน ลดการกินเนื้อสัตว์ที่เดินได้บนดิน คงไว้ซึ่งสัตว์น้ำ กินผักผลไม้กากใย และแน่นอนต้องไม่มีสารเคมีกันบูดกันเสีย สารพิษฆ่าหญ้าฆ่าแมลง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย และส่งผลไปยังผนังเส้นเลือดและทำให้เกิดการยอมรับไขมันเข้าไปเสียบตัวในผนังเส้นเลือดและก่อให้เกิดการอักเสบในผนังเส้นเลือดเป็นกระบวนการตามติดมา

เรายังสามารถอธิบายกลไกการเกิดสมองเสื่อม ความจำเสื่อม โรคพาร์กินสันได้จากกระบวนการอักเสบในร่างกายซึ่งส่งผลไปยังสมองได้อีกด้วย และมีหลักฐานพิสูจน์ว่าการลดการอักเสบที่ว่าสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้แม้กระทั่งโรคมะเร็งปอด

ถึงตอนนี้เราทุกคนต้องตระหนักว่า สุขภาพของเราเอง เราสามารถกำหนดได้จากการกิน การเลือกกินและการไม่กินอาหารบางประเภท และเราต้องต่อต้านการใช้สารเคมีที่ปะปนเข้ามาในอาหารพืชผักผลไม้ และแน่นอนการออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดบุหรี่ไม่ดื่มเหล้าเกินปริมาณเพื่อสุขภาพ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันซึ่งเป็นความสุขที่ยั่งยืนและถาวร

ด้วยความเป็นห่วงนะครับ.

หมอดื้อ