"มีเซ็กซ์ ไม่ใส่ถุงยาง ท้อง ทำแท้งเถื่อน คุณแม่วัยใส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์" เรื่องราวเหล่านี้เหมือนเป็นหนังชีวิตที่ฉายวนลูปอยู่ในสังคมไทย แม้หลายคนจะเข้าใจรากลึกของปัญหา และลุกขึ้นมาช่วยแก้ แต่การแก้ปัญหานั้นก็ยังไม่ไปไม่ถึงสุดทาง เพราะปัญหานี้มักจะเกิดอยู่ในจุดเดิมซ้ำๆ 

"ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้พูดคุยกับ นายแพทย์ โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และประธานคณะอนุกรรมการการศึกษา ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญ เพราะทุกปัญหาที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวกับเซ็กซ์ในสังคมไทย ได้ผ่านหู ผ่านตา ของหมอมาหมดแล้ว จนบ่มเพาะให้หมอเข้าใจบริบทคำว่า "เซ็กซ์ในสังคมไทย"

หมอโอฬาริก เริ่มต้นเล่าถึงเคสการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นว่า ส่วนใหญ่ที่หมอ เจอจะเป็นลักษณะซ้ำๆ กัน คือ มาจากครอบครัวที่แตกแยก แต่มีจะอยู่ 1 เคสที่หมอพบน่าจะเด็กที่สุดที่เคยทำการรักษามา คือ น้องคนนี้อายุ 12 ปี น้องไม่ได้เรียนหนังสือ ทำงานเป็นเด็กเชียร์เบียร์อยู่ที่ร้านหมูกระทะแห่งหนึ่ง แฟนของน้องอายุประมาณ 20 ปี และทำงานอยู่ที่เดียวกัน

นอกจากนี้ หมอยังเจอเคสหญิงสาวอายุ 18 ปี ท้องครั้งที่ 5 แต่แท้งไป 2 ครั้ง ซึ่งมาฝากท้องคนที่ 3 กับหมอ โดยพ่อของเด็กก็เป็นสามีคนที่ 3 ในทางกลับกันในฐานะของคนชนชั้นกลางก็จะมาพบหมออีกแบบ คือ มีลูกยาก ซึ่งเขาเข้ามาปรึกษาภาวะมีบุตรยาก มักจะมีคำถามกับหมอเสมอว่า ทำไมคนอื่นๆ หรือ วัยรุ่น คุณแม่วัยใส ท้องง่ายจัง

หมอก็จะบอกว่า ต้องมองแบบนี้นะ การมีเพศสัมพันธ์ เป็นความหรรษาราคาถูกที่สุด หรือ Cheapest Entertainment วัยรุ่นไม่ต้องไปซื้อเหล้า ไม่ต้องไปแว้นออกนอกบ้าน ไม่ต้องเสียตังค์ มีความสุขอยู่ในบ้านได้ ทุกอย่างเลยง่ายไปหมด และการมีสติและความยับยั้งชั่งใจจะต่างกัน 

...

ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปที่ข้อมูลของกรมอนามัย อายุเฉลี่ยของผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกคือ 15 ปี อายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก คือ 15 ปี เช่นกัน เมื่อก่อนเราจะคิดว่าผู้ชายมีเพศสัมพันธ์ไวกว่าผู้หญิง หมอ มองว่า ปัญหาแรกการเข้าถึงการคุมกำเนิดของผู้หญิงและผู้ชายไม่เท่ากัน ดูได้จาก ห้องน้ำผู้ชายมีตู้หยอดให้ซื้อถุงยางอนามัย แต่ในห้องน้ำหญิงไม่มีตู้หยอดให้ซื้อถุงยางอนามัย หรือเด็กผู้ชายไปซื้อถุงยางอนามัยที่ร้านสะดวกซื้อ แต่พอเด็กผู้หญิงไปซื้อกลับถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ 

คุณหมอ พูดติดตลกว่า "การเข้าถึงถุงยางสำคัญที่สุด ถ้าตามชนบทเด็กต้องปั่นจักรยานมาเป็น 10 กิโลเมตรเพื่อซื้อถุงยางอนามัยที่ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจังหวะนั้น ในห้วงอารมณ์แบบนั้นมันก็จะไม่น่าได้ คือ ณ ตอนนั้นถุงยางอนามัยต้องอยู่ในกระเป๋าแล้ว" 

สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือ เพศศึกษา หรือ Sex Education ในเมืองไทยในสถานศึกษาแต่ละที่เปิดใจไม่เท่ากัน แม้ว่ากรมอนามัยได้ออกแคมเปญรณรงค์ให้ครอบครัวมีการพูดคุยถึงเรื่องเพศศึกษามากขึ้น แต่เรื่องของเพศศึกษา จากครอบครัว จากโรงเรียน และการคุมกำเนิด เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เป็นระบบ

นอกจากนี้ โรงพยาบาลรัฐต้องมีคลินิกวัยรุ่น ซึ่งโรงพยาบาลบางแห่งก็มี แต่ปิดในเวลาราชการก็อาจจะไม่ตอบโจทย์วัยรุ่น ถ้าถามว่านี่เป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร มีกูเกิล มีโซเชียลก็สามารถเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาได้แล้ว แต่เราต้องไม่ลืมว่า บริบทความเป็นเมือง และชนบท ยังต่างกันอยู่ ในกรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ๆ มีอินเทอร์เน็ต แต่ในขณะที่ชนบทยังมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ไม่มีอินเทอร์เน็ต หรือไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย สมาร์ทโฟน ซึ่งกลุ่มนี้ก็ถือว่ามีความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า เนื้อหา (content) บางอย่างก็ไม่ได้เหมาะสมกับเด็ก ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดร้อยเอ็ด มีพยาบาลได้ทำวิจัยและแบ่งกลุ่มวัยรุ่นออกเป็น 4 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 ไม่เคยมีแฟน
กลุ่มที่ 2 มีแฟน แต่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์
กลุ่มที่ 3 มีแฟน มีเพศสัมพันธ์ และยังไม่ท้อง
กลุ่มที่ 4 มีแฟน มีเพศสัมพันธ์ ท้องแล้ว และแท้งแล้ว

โดยเนื้อหาของเด็ก 4 กลุ่มจะไม่เหมือนกันเลย กลุ่มที่ 4 ก็ต้องสอนเรื่องการป้องกันการท้อง และป้องกันการติดโรค เนื้อหาก็ต้องหนักๆ ขณะที่กลุ่มที่ 1 ก็อาจจะต้องสอนเรื่องงดการมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเสี่ยง เป็นต้น

"สมัยนี้แม้เราจะมีการเข้าถึงในเรื่องพวกนี้ง่ายขึ้น แต่ข้อมูลที่มีอยู่นั้นอาจจะกระจัดกระจาย และไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ช่องทางที่เข้าถึงสื่อ การเข้าใจเนื้อหาไปคนละแบบ ซึ่งตรงนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องก็พยายามจัดทำเรื่อง Sex Education ให้เป็นระบบ"

สำหรับโรคเพศสัมพันธ์ที่หมอเจอบ่อยที่สุดในวัยรุ่น คือ หนองในที่พบในเพศหญิงที่เจอบ่อย ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ แต่ถ้าติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ก็จะพบที่ มดลูก ปีกมดลูก โดยหนองในนั้นมีทั้งหนองในแท้ หนองในเทียม เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งมาจากผู้ชาย จาก A มาสู่ B โรคพวกนี้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์หลายๆ คน และไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย

สังคมไทยยังไม่ค่อยเข้าใจคุณแม่วัยใส 

หมอโอ ยกตัวอย่างเคสให้ฟังว่า มีเด็กผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งได้เสียกันแล้ว ทางผู้ใหญ่เลยจับหมั้นกัน แต่ปรากฏว่า ครูให้ออกจากโรงเรียน เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี อีกเคสก็คือ ท้องระหว่างเรียน ซึ่งเคสนี้เป็นเด็กม.ต้น หมอก็สงสัยว่า ออกทำไม เพราะเดี๋ยวนี้ทางโรงเรียนจะอนุญาตให้เรียนหนังสือใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ก็จะตอบในลักษณะเดียวกัน คือ ไม่มีใครอยากคุยด้วย เล่นด้วย ถูกสังคมรอบข้างตั้งคำถาม เหมือนถูกว่า เป็นเด็กใจแตก ว่าง่ายๆ ก็คือ การโดนบูลลี่ (Bully) นั่นเอง

เรียกได้ว่า ย้อนแย้งกับกฎกระทรวงศึกษาธิการ (คลิกอ่านกฎกระทรวงฉบับเต็ม ที่นี่ )ที่ระบุว่า สถานศึกษาต้องที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษาต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา

สำหรับ เขตเมืองอย่างเช่น ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จะพบตัวเลขคุณแม่วัยใสค่อนข้างมาก ซึ่งหากมองลงไปจริงๆ จะพบว่า 3 จังหวัดนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรม พ่อแม่ต้องทำงานเข้ากะ ไม่ได้มีเวลาที่จะดูแลลูก เทียบกับจังหวัดจันทบุรี แม้จะไม่ได้เจริญเหมือน 3 จังหวัด แต่ด้วยความที่เป็นชาวสวน พอเย็นมาก็ได้ล้อมวงกินข้าว ครอบครัวเหนียวแน่น สะท้อนให้เห็นว่าสถาบันครอบครัวสำคัญที่สุด เมื่อครอบครัวไม่แข็งแรง เด็กก็จะคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ก็จะพยายามแสวงหาความรักเข้ามาเติมเต็มไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม 

เมื่อ เขามองว่า การท้องในวัยรุ่น ไม่ใช่ปัญหา เขาคิดว่าท้องเสร็จยายเลี้ยง คุณอาจจะเคยได้ยิน แม่วัยรุ่นทางพันธุกรรม หมอเคยเจอหนึ่งเคสนะ คือ เขามาคลอดพร้อมกัน ลูกสาวกับคุณแม่มาคลอดพร้อมกัน คือแม่เขาอายุ 38 ปี ลูกสาวอายุ 19 ปี ก็นับญาติกัน อีกฝั่งเป็นน้อง อีกฝั่งเป็นหลาน 

"เรามีแคมเปญเรื่องการท้องซ้ำ หากมีคุณแม่วัยใสมาเราก็จะมีคำแนะนำเรื่องการคุมกำเนิดระยะยาว เช่น ฝังยาคุม ซึ่งรัฐบาลก็ลงรณรงค์ฝังยาคุมกำเนิดมูลค่า 3 พันบาทฟรี เพียงแค่อายุน้อยกว่า 20 ปี ซึ่งที่ผ่านมาเด็กไม่ค่อยมา แต่จะพบว่าคุณแม่เป็นคนพามา หมอเคยเจอหนึ่งเคส คือ ลูกสาวค่อนข้างดื้อ หายไปจากบ้านหลายวัน คุณแม่เขาเลยพามาฝังยาคุมกับหมอ จริงๆ หมอก็อยากให้ป้องกัน 2 ทางนะทั้งใช้ถุงยาง และฝังเข็มคุมกำเนิด ป้องกันท้องไม่พร้อมแล้วก็ติดโรค"

เซ็กซ์แบบรุนแรง ความรุนแรงในครอบครัว และการข่มขืน

ความรุนแรงในครอบครัวผ่านการทำร้ายร่างกาย การข่มขืน และเซ็กซ์แบบรุนแรง ก็เคยผ่านมือ หมอโอ มาเช่นกัน หมอ เล่าว่า เคยมีเคสหนึ่ง หมอจำได้แม่นเลยเพราะเกิดขึ้นในกทม. ซึ่งเป็นชุมชนแออัด คนไข้เป็นผู้หญิงมาพบหมอ เธอถูกสามีทำร้ายร่างกาย และใช้กระปุกเจลหล่อลื่น ลักษณะกลมๆ แบนๆ ฝาสีน้ำเงินยัดเข้ามาในช่องคลอด

"ตอนแรกหมอก็ไม่รู้ว่าอะไร เห็นเป็นก้อนกลมๆ ซึ่งเอาออกยากมากเพราะมันกลม หมอก็ใช้เครื่องมือเข้าไปคีบ ปรากฏว่าลื่นหลุดตลอด ให้ลองมโนภาพว่า เรากำลังใช้ตะเกียบคีบถั่ว ซึ่งมันลื่นๆ คีบแล้วหลุดตลอด ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากภาวะเครียดด้วยจึงทำให้เอาออกยาก ซึ่งคนไข้บอกว่า เขาทะเลาะกับสามี จากนั้นผู้ชายก็จับกระปุกยัดเข้าไปในช่องคลอด ที่เอาออกได้ เพราะว่าจับไปจับมาแล้วเจอด้านที่เป็นฝา พอฝาหลุด ก็คีบจับขอบออกมา ซึ่งใช้เวลาในการทำรักษา 1 ชั่วโมง"

ส่วนตัวหมอก็คิดว่า เคสนี้คือความรุนแรงในครอบครัว แต่ผู้หญิงก็ไม่ได้แจ้งความ หมอก็ได้แต่ทำหน้าที่ในการรักษาไป ใจจริงหมอก็อยากมีการรีพอร์ตไปยังคนที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะได้เก็บสถิติ เพราะเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ 

ส่วนอีกเคสที่หมอเจอคือ คุณแม่กำลังจะคลอด แต่เขาเสพยาบ้ามา ซึ่งหลายคนอาจจะมีความเชื่อว่า เสพยาไอซ์ เสพยาบ้ามาก่อนจะคลอดแล้วไม่เจ็บ ซึ่งแบบนี้จะมีผลกับเด็กในท้อง บางทีก็พบ เคสเด็กที่สมองพิการ โดนข่มขืนแล้วท้อง หากเป็นเคสแบบนี้ก็ต้องยุติการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่คนที่ลงมือจะเป็นคนข้างนอก แต่เป็นคนใกล้บ้านที่เข้ามาข่มขืน

อายุมากก็ท้องได้ คลอดเองดีสุด 

สาวๆ หลายคนที่เพิ่งจะตกลงปลงใจแต่งงาน บางคนเพิ่งจะได้ลงคานในวัย 35 ปีขึ้นไป หลายคนกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ ประเด็นนี้ หมอโอฬาริก บอกกับเราว่า ตั้งครรภ์ได้ครับ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของหมอ คนไข้ที่หมอดูและการตั้งครรภ์อายุมากสุดคือ อายุ 49 ปี คนไข้ท้องเอง และเด็กก็ปกติ แข็งแรง และผู้หญิงที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไปก็คลอดธรรมชาติเองได้  

สำหรับ ความหวังของคนอายุมาก หรือใครที่ต้องการวางแผนที่จะมีครอบครัว และพอมีกำลังสามารถฝากไข่ได้ ช่วงเวลาที่เหมาะกับการฝากไข่คือ ก่อนอายุ 25-32 ปี ค่าใช้จ่ายประมาณ 120,000 บาท จากเมื่อแพลนว่าจะตั้งครรภ์ในระยะไหน ก็สามารถนำไข่มาผสมเทียม เพื่อการตั้งครรภ์

ส่วนตัวหมอสนับสนุนให้คลอดแบบธรรมชาติ เพราะมีข้อดีเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องการฟื้นตัว ตอนนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุข มีรณรงค์ในเรื่องนี้ รวมถึงมีการทำวิจัยเรื่องการผ่าคลอดโดยไม่จำเป็น ส่วนผู้หญิงที่อายุมากว่า 35 ปี คนส่วนใหญ่คลอดเองได้ 

"ถ้าถามถึงความประทับใจการเป็นหมอสูติ มีเยอะมากเลย เพราะหมออยู่ในต่างจังหวัด เวลาไปกินข้าว ก็จะต้องเจอคนที่เคยทำคลอด แม่ก็จะบอกลูกว่า คุณหมอคนนี้เป็นทำคลอด ล่าสุดเจอคนไข้คนหนึ่งที่หมอเคยทำคลอดให้ เขาบอกว่า คุณหมอคะ ลูกหนู 7 ขวบแล้วนะ ก่อนที่จะมาเจอคุณหมอแท้งมาแล้ว 3-4 ครั้ง เป็นเคสภาวะมีบุตรยาก คือ ท้องแล้วแท้ง หมอก็ดูแลประคับประคองกันจนคลอดได้"

 

ถกประเด็นยุติการตั้งครรภ์

สำหรับการยุติการตั้งครรภ์ เป็นเรื่องที่เราคุยกันมาอย่างยาวนาน หมอโอฬาริก มองว่า หากดูตามกฎในประเทศไทย จะเขียนว่า แพทย์สามารถยุติการตั้งครรภ์ด้วย 2 เหตุผล คือ 1.ข่มขืน 2.การตั้งครรภ์นั้นมีผลต่อสภาพสุขภาพร่างกาย ซึ่งแบ่งออกเป็น สุขภาพกาย และสุขภาพใจ เช่น คุณแม่ตั้งท้อง แต่แม่เป็นโรคหัวใจรุนแรง หมอก็จะยุติการตั้งครรภ์ให้ ส่วนเรื่องของสุขภาพใจต้องมีหมอเข้ามาดูแล 2 คน ซึ่งคำว่าสุขภาพใจ บริบทนั้นค่อนข้างกว้างก็ต้องดูเป็นเคสไป

"สูตินรีแพทย์ส่วนใหญ่ ต้องผ่านการยุติการตั้งครรภ์ ที่ผ่านมามีหลายเคสที่หมอดู และรู้สึกเสียดายซึ่งหมอเคยเจอเคสคนไข้ที่ทำแท้งเถื่อนมาจากนั้น เธอก็ติดเชื้อมานอนไอซียูประมาณ 1 เดือน หมอก็ดูแลเคสนี้เป็นพิเศษ ซึ่งเธอก็เสียชีวิต ย้อนกลับมาที่การยุติการตั้งครรภ์ ที่มีความเห็นเป็น 2 ฝ่ายคือ ซึ่งเขามองว่าการยุติการตั้งครรภ์ เป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนของคนที่ไปทำแท้งเถื่อน เป็นโรคที่หมอป้องกันได้ ทำไมเราไม่ป้องกัน อีกฝ่ายก็จะมองว่า การทำแท้งเป็นบาป ซึ่งหมอหลายคนก็มีความคิดเห็นไม่ต้องตรงกัน ก็ยังมีปัญหาส่วนหนึ่ง"

อย่างไรก็ตาม หากมีการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ที่สหรัฐฯ จะมี 4 ข้อให้เด็ก และผู้ปกครองตัดสินใจดังนี้

1. ยุติการตั้งครรภ์
2. คลอดแล้วให้สถานสงเคราะห์
3. คลอดแล้วให้ญาติเลี้ยง
4. คลอดแล้วดูแลเอง

เมื่อรู้แล้ววัยรุ่นก็จะเลือกเองว่าอยากได้ข้อไหน เขาก็จะเลือกว่าจะวางแผนแบบไหน โดยในส่วนของประเทศไทยจะมีสำนักงานอนามัยเจริญพันธุ์ หมออาสา RSA เข้ามาดูแลเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม

ทั้งนี้ หากย้อนมาดูตัวกฎหมายความยากอยู่ที่ตรงนี้ที่ว่า หมอสามารถยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่ผิดเลยกฎหมายเลยใช่ไหม ก็ต้องบอกก่อนว่า ที่ประกาศนั้นเป็นประกาศของแพทยสภา ซึ่งศักดิ์ต่ำกว่ากฎหมาย โดยประกาศของแพทยสภาที่ออกมาเกิดจากความร่วมมือหลายๆ ฝ่าย เช่นนักกฎหมาย หมอ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มารวมกันเพื่อให้เกิดข้อบังคับนี้ขึ้นมา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าดีกว่าให้คนไข้ไปทำแท้งเถื่อน เพราะการแก้กฎหมายไปเลยค่อนข้างยาก การใช้ประกาศแบบนี้น่าจะดีกว่า

"หลายคนอาจจะมองว่า ถ้ามีประกาศนี้แล้ว หมอจะไม่มีความผิด ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ ตามตัวกฎหมายจริงๆ คือ ไม่ได้ เพราะประกาศจากแพทยสภาไม่ใช่กฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาก็การฟ้องร้องเกิดขึ้น และเป็นคดีความกันอยู่เพื่อเรียกร้องให้มีการชดเฉยค่าเสียหาย ในทางกลับกันผู้หญิงก็อาจจะโดนฟ้องด้วยตามกฎหมายอาญา ลักษณะ 10 ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายหมวด 3 ความผิดฐานทำให้แท้งลูกด้วย"

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า การมีกฎหมายยุติการตั้งครรภ์ 10 ปีผ่านไป ปัญหาเรื่องอาญชญากรรมลดลง เราอาจจะเคยเด็กแว้นขี่รถแล้วแพ้จะยกแฟน เปลี่่ยนคู่นอนบ่อยๆ ครอบครัวไม่แข็งแรง ไม่ได้คิดว่าตัวเองมีคุณค่าแสวงหาความรัก คิดว่าเป็นแบบนี้แล้วคิดเขาจะรัก ยกตัวอย่างญี่ปุ่นมีการยุติการตั้งครรภ์เสรี เมืองจีนก็มีเรื่องยุติการตั้งครรภ์ เขามองว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ในสหรัฐฯก็ยังเถียงกันไม่จบ

(ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Olarik Musigavong)