“ปีเก่า...ผ่านไป ปีใหม่...ย่างเข้ามาเป็นกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ทุกอย่างจึงได้เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ

...วันนี้ยังได้พบเห็นหน้าตากันอยู่ แต่วันต่อไปอาจจะไม่มีบุคคล นั้นแล้วก็ได้ จึงหาความแน่นอนให้กับชีวิตไม่ได้ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจกันอยู่ เกิดมาวันนี้จึงขอให้ทำตัวเองให้ดีที่สุด”

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า ทุกชีวิตที่เกิดมาหรือลืมตาขึ้นมาดูโลกล้วนต้องการความสุข ความสมหวัง ความเจริญก้าวหน้า ความสำเร็จด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้คนกลุ่มใด มีสถานะทางสังคมเป็นเช่นใด มีอาชีพอย่างไร

แต่ทว่า...ความต้องการเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าปราศจากการลงมือกระทำ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและปัจจัยที่ต่อเนื่อง อย่างเช่นเมื่อเกิดมาแล้วถ้าต้องการให้ร่างกายเจริญเติบโตก็จะต้องรับประทานอาหารเข้าไปบำรุงร่างกายให้เจริญเติบโตขึ้นมา...ถ้าต้องการให้มีความรู้ความเข้าใจก็จะต้องศึกษาเล่าเรียน

ถ้าต้องการความเจริญก้าวหน้าในอาชีพ หน้าที่การงาน ก็จะต้องมีความขยันหมั่นเพียร มีความมานะอดทนบากบั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางกั้น พยายามปรับปรุงแก้ไข...พัฒนาอยู่ตลอดเวลา แล้วความสำเร็จก็จะติดตามมา หรือถ้าต้องการความสงบ...ความสุข ก็จะต้องสร้างความสงบภายในตัวเราเองเสียก่อน

นับตั้งแต่ความสงบทางใจ ทางวาจา ทางกาย หมั่นตรวจสอบพิจารณาตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปเรียกร้องหรือแสวงหาความสงบจากคนอื่น ตัวเราสงบแล้วครอบครัวของเราก็จะพลอยสงบไปด้วย ครอบครัวเราสงบแล้วชุมชนหรือหมู่บ้านของเราก็จะพลอยสงบไปด้วย

“ชุมชน หมู่บ้านสงบแล้วก็พลอยจะก่อให้เกิดความสงบสุขภายในสังคมเราไปด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นผลพวงลูกโซ่อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เหตุดีผลก็จะติดตามมาดี แต่ถ้าเหตุไม่ดีผลก็จะติดตามมาไม่ดีไปด้วย”

...

ประกอบสัมมาชีพเลี้ยงชีวิต...ครอบครัวด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ภาคภูมิใจในอาชีพ...หน้าที่การงานของตน มีจิตสำรวมในกาม ไม่ตกเป็นทาสของราคะ...ตัณหา จนกระทำผิดศีลธรรม ผิดกฎหมายบ้านเมือง ผิดกติกา สังคม อีกทั้งประพฤติตนเป็นคนมีสัมมาวาจา สัมมาคารวะ ไตร่ตรองให้ รอบคอบเสียก่อนที่จะเปล่งวาจาออกมา

“วาจาเป็นหน้าต่างของดวงใจ รวมถึงให้มีความพยายาม มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา มิให้ตนเองตกเป็นทาสของสิ่งมึนเมา สิ่งมอมเมามีแต่จะชักนำชีวิตให้จมดิ่งลงไปในวังวนของความหายนะ...ปีหมูจะเป็นปีแห่งความอุดมสมบูรณ์หรืออิ่มหมีพีมันหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเราเป็นผู้กำหนดกลไกให้เกิดมีขึ้นมา”

“ปีใหม่”...ย่อมเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาได้ แต่ “กรรมเก่า”...ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เรากระทำกรรมใดไว้ก็ย่อมได้รับผลของกรรมที่กระทำไว้อย่างแน่นอน จะเป็นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ หรือเดือนหน้า หรือปีหน้าหรือชาติหน้าก็แล้วแต่ผลของกรรมจะติดตามมา

ตอกย้ำสัจธรรม “บทเรียนกับชีวิต”...เหตุดีผลก็ต้องดี เหตุไม่ดีผลก็ต้องไม่ดี

ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เสริมมุมมองเกี่ยวกับนวัตกรรมทางสังคม เพื่อความสุข ความสร้างสรรค์ของคนไทยทุกคน และการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ บอกว่า เมื่อพูดถึง “นวัตกรรม” ผู้คนมักถูกทำให้คิดถึงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาถึงสิ่งสูงสุดของมนุษยชาติว่าคือการอยู่ร่วมกันอย่าง “สันติสมดุล” ทั้งระหว่าง “คน” กับ “คน” และระหว่าง “คน” กับ “สิ่งแวดล้อม”

“...จะเห็นว่านวัตกรรมที่ต้องการมากกว่าคือ นวัตกรรมทางสังคม เพราะนวัตกรรมทางเทคโนโลยีแม้สำคัญและหนีไม่พ้น ยังมองไม่เห็นว่าจะสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมดุล แต่ที่ได้ผลตรงข้ามคือทำให้สังคมแตกกระจาย”

ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสุดๆ จะเป็นที่ 1 หรือที่ 3 ในโลก ก็ไม่จำเป็นต้องเถียงกันว่าใครผิดใครถูก ที่ถูกร่วมกันคือเหลื่อมล้ำมากๆ ความเหลื่อมล้ำแก้ไขยาก และแก้ไม่ได้ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจไปอย่างเดิม เพราะอย่างเดิมนั่นแหละที่เป็นตัวการให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น จึงต้องคิดถึงนวัตกรรมทางสังคม

ปุถุชนคนทั่วไป มีธรรมชาติที่ทางพระเรียกว่า ตัณหา มานะ ทิฐิ...ตัณหา=อยากได้...มานะ=อยากใหญ่ หรือใช้อำนาจ (ในทางบาลีไม่ได้หมายแบบว่ามุมานะ)...และ ทิฐิ=ถือความเห็นของตนเป็นใหญ่

สัมพันธภาพของคนทั่วไปที่ยังไม่ได้ขัดเกลา จึงเป็นสัมพันธ์ทางดิ่ง หรือสัมพันธภาพเชิงอำนาจ ในสังคมโบราณซึ่งเป็นสังคมขนาดเล็ก มีความหลากหลายน้อย และปัญหาเข้าใจง่ายตรงไปตรงมา การใช้อำนาจควบคุมอาจทำให้เกิดความสงบได้ในกาลและสถานหนึ่งๆ แต่ในสมัยปัจจุบันสังคมมีขนาดใหญ่มีความหลากหลาย เชื่อมโยงยาวไกลหลายมิติ เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงพลิกผันโดยรวดเร็วเป็นระบบซับซ้อน

ในระบบใหม่นี้อำนาจได้ผลน้อยลงๆ สัมพันธภาพทางดิ่งจึงก่อให้เกิดความบีบคั้น ทุรนทุราย ไร้ความสุข มีความเข้าใจหรือปัญญาน้อย เพราะมีการเรียนรู้ความจริงน้อย ทำให้ด้อยสมรรถนะ ทำให้รู้สึกหมดหวัง หดหู่ ซึมเศร้า ไร้ทางออก กระนั้นที่ว่าไร้ทางออกนั้นไม่จริง ทางออกรอเราอยู่แล้วเพราะมนุษย์ทุกคนมีศักยภาพสูงมาก

“มายาคติ” แปลว่าไม่ใช่ความจริง ความจริงคือคนทุกคนมีศักดิ์ศรีและศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ มายาคติต่างๆ เช่น ชาติกำเนิด เศรษฐานะ ระบบการศึกษา ระบบราชการ ตำแหน่ง ความเป็นทางการ ข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ ทั้งหลายทั้งปวงอันสะท้อนความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม อำนาจ...

ล้วนทำให้คนส่วนใหญ่ด้อยศักดิ์ศรีและด้อยศักยภาพของความเป็นมนุษย์โดยไม่รู้ตัว

“คุกนั้นเป็นที่กักขังคน คับแคบ บีบคั้น จำกัดการเห็นและการกระทำ คนที่ติดอยู่ในคุกจึงถูกทำให้ไม่มีเสรีภาพ ด้อยศักดิ์ศรี ด้อยศักยภาพ สังคมที่คนส่วนใหญ่เสมือนติดอยู่ในคุกที่มองไม่เห็น ด้อยศักดิ์ศรี ด้อยศักยภาพ จึงไม่มีพลังที่จะฝ่าความซับซ้อนและยากไปข้างหน้าได้โดยสวัสดี เราจะไปพัฒนาอย่างอื่นๆเท่าไรๆมันก็เหมือนสตาร์ตเครื่องไม่ติด ตราบใดที่ยังไม่ปลดปล่อยคนทั้งหลายออกจากคุก”

การปลดปล่อยดูเหมือนยาก แต่ก็ไม่ยาก...เพราะมันเป็นมายาคติ ไม่ใช่ความจริง

เพียงแต่ทุกคนระลึกรู้ แล้วสลัดมายาคติออกไป ปลดปล่อยตัวเองไปสู่เสรีภาพ คือออกจากคุกที่มองไม่เห็น เมื่อมีเสรีภาพ มีศักดิ์ศรี มีศักยภาพ ก็มีความสุข มีความสร้างสรรค์ เป็นสภาพที่อุดมไปด้วย “สศส” คือ...เสรีภาพ ศักดิ์ศรี ศักยภาพ สุข สร้างสรรค์...

ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะค้นพบช่วยให้เพื่อนมนุษย์ได้ค้นพบสำนึกในศักดิ์ศรี ศักยภาพในความเป็นมนุษย์ของตนเอง....เพื่อเสรีภาพ ความสุข และความสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งแผ่นดิน

พระมหาสมัย บอกอีกว่า ปีใหม่จะสวัสดีเพียงใด จะสุขสดชื่นเพียงใด จะสดใสเพียงใดก็ล้วนมาจากความดีของเราทั้งนั้น ขอจงช่วยกันทำแต่ความดีทั้งทางกาย...วาจา...ใจ อย่างสม่ำเสมอ อย่าได้ทุ่มเทเพียงวันใดวันหนึ่ง หรือช่วงใดช่วงหนึ่ง เพราะความดี การเจริญเติบโตของร่างกาย ทรัพย์สินเงินทอง ความเค็มของทะเล ความรู้ความเข้าใจ...เหล่านี้ต้องใช้กาลเวลาสั่งสม อย่าหวังความเจริญก้าวหน้า อย่าหวังความสุข อย่าหวังเอาทรัพย์สินเงินทองจากเพียงโชคลาภหรือเหตุโดยบังเอิญ เพราะสิ่งเช่นนั้นมิได้เกิดขึ้นกับทุกคนเสมอไป

ความสุข ความดีงาม ความเจริญก้าวหน้า เกิดขึ้นจาก “ความดีในชีวิตเรา” ที่จะยั่งยืนถาวรตลอดไป

ปีใหม่ 2562 ขอให้ทุกชีวิตจงสงบสุข สดใส ได้สมหวังดังปรารถนาอันเนื่องมาจากความดีของทุกชีวิตด้วยกันทั้งปวงเทอญ...โลกของเราและสังคมของเราก็จะอิ่มหมีพีมันดังปีหมูตลอดทั้งปี.