น่าสนใจมาก เป็นเรื่องที่เรียบเรียงจากบทความใน Medscape Neurology เขียนโดย Sue Hughes รายงานล่าสุดจากการศึกษาชื่อ REDUCE–IT trial โดยการใช้น้ำมันปลาปริมาณสูง (Omega–3 oil eicosapentaenoic acid หรือ EPA) 4 กรัมต่อวันได้พิสูจน์ว่าลดโรคหัวใจได้อย่างมากเลยนะ

การทดลองนี้มีคนเข้าร่วม 8,179 คนจาก 11 ประเทศ แต่ละคนที่ถูกคัดมามีความเสี่ยงโรคหัวใจสูง ก็คือ เคยเป็นหัวใจขาดเลือดมาแล้ว หรือมีเบาหวาน กับความเสี่ยงนอกเหนือจากที่กล่าวมา นอกจากนั้นทุกคนมีไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) สูง ทุกคนใช้ยาลดไขมันสเตตินมาเกิน 4 อาทิตย์ และไม่ได้ใช้น้ำมันปลามาก่อน พอได้คนมามากพอก็จัดแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้น้ำมันปลา EPA 4 กรัม อีกกลุ่มได้ยาหลอก (Placebo) โดยทั้งหมอและคนไข้ที่เข้าร่วมไม่รู้ว่าอยู่กลุ่มไหน (Double blind randomized controlled) กินไปเรื่อยทุกวันเป็นเวลา 4.9 ปี พอมาดูแล้ว เฮ้ย เจ๋งมาก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจหรือสมองขาดเลือดเฉียบพลันได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ได้ยาหลอก ซึ่งตามการคำนวณสถิติแล้วก็เฉียบขาดแน่นอน (highly significant P<0.001) สถิติก็ส่วนหนึ่ง

แต่อันนี้มันมีกลไกการลดอักเสบสามารถอธิบายได้ ไม่ได้ดูแต่ P value มาให้กินปริมาณสูงขนาดนี้ก็แน่นอน คำถามว่าปลอดภัยไหม ปลอดภัยครับ เค้าเอามาเทียบกันสองกลุ่ม เรื่องผลข้างเคียงก็ไม่เท่าไหร่ เหมือนกันทั้งสองกลุ่ม

คราวนี้มาลองดูว่าลด 25% นี่เยอะไหม 25% นี่เทียบได้กับยาลดไขมัน Atorvastatin เลย และในการทดลองนี้ผล 25% ลดความเสี่ยงนี่คือเพิ่มมาจากยาลดไขมันนะ ฉะนั้นมันคงไปออกฤทธิ์อะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากยาที่เราใช้กันอยู่ อย่างที่กล่าวไว้ในหลายบทความว่ายาลดไขมันเนี่ยที่มันดีจริงแล้วอาจจะเพราะมีฤทธิ์ไปลดการอักเสบด้วยของเส้นเลือดที่ทำให้เส้นเลือดถลอก ไขมันวิ่งไปวิ่งมาเลยเสียบเข้าเส้นเลือดไปเลย ดังนั้นนี่เลยลดการเกิดโรคหัวใจ ส่วนน้ำมันปลานี่นอกจากลดการอักเสบของเส้นเลือดโดยการกดสารอักเสบเช่น interleukin-2 และการเปลี่ยนการแสดงออกของยีนที่สร้างสารอักเสบให้มันลดลงมาหน่อย แล้วก็คงมีกลไกอื่นอีก เช่น การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) และการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ นอกจากนี้มันไปช่วยขยายเส้นเลือด โดยการช่วยให้เส้นเลือดด้านในปล่อยสาร Nitric oxide อีกด้วย ขยายเส้นเลือดก็แน่นอนช่วยลดความดันด้วย ที่เหลือยังไม่แน่ว่าช่วยลดเลือดข้น และช่วยลดระดับการเต้นของหัวใจด้วยหรือเปล่า

...

กลับมาในน้ำมันปลาของเรา ฟังดูดีไหม ถูก ปลอดภัยอีกด้วย ในการทดลองนี้ 70% มีโรคหัวใจอยู่แล้ว ฉะนั้นก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำหรือ Secondary prevention และ 30% มีความเสี่ยงสูง ฉะนั้นก็คือป้องกันไม่ให้เกิดหรือ Primary prevention

กว่าจะมีการทดลองให้เห็นชัดว่าดี ตั้งนานแน่ะ แต่จริงๆแล้วมีการทดลองมาก่อนหลายอันแล้ว ส่วนมากใช้น้ำมันปลาปริมาณต่ำเลยไม่เห็นผล มีของญี่ปุ่นใช้ 1.8 กรัมเห็นผลดีเหมือนกัน แต่ไม่เท่าอันนี้ และมาดูๆคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดน่าจะเป็นคนที่ triglyceride สูงด้วยนะ นอกจากน้ำมันปลานี่ก็ Mediterranean diet ออกกำลังกาย แล้วก็หยุดสูบบุหรี่นะครับ จะได้สุขภาพดีถ้วนหน้า ช่วยระบบสาธารณสุขกันอีกด้วย เพราะพี่น้องพยาบาล เภสัชกร พนักงานโรงพยาบาล และหมอใกล้จะรับไม่ไหวแล้ว

ต่ออีกนิดหนึ่ง ไหนๆก็พูดถึงโรคคนหนุ่มอย่างหมอแล้ว อีกบทความหนึ่งใน Medscape Neurology เกี่ยวกับความไม่จำเป็นในการผ่าตัดในโรคเจ็บเข่าและเจ็บหลังช่วงล่างที่เป็นมาเรื้อรัง (invasive procedure for chronic knee and back pain) ในอเมริกาเองก็มีปัญหานี้เยอะเพราะปัจจัยหนึ่งที่เกิดปัญหากับเข่าและหลังคือพุงยื่น น้ำหนักเยอะ และก็อาจจะเจอเยอะในประเทศเราเหมือนกัน ถ้าไม่ระวังนะครับ คอเบียร์และคนน้ำหนักเกิน พอประมาณกำลังดี ในปี 2014 อเมริกาเองใช้เงิน 4 หมื่น 5 พันล้านเหรียญ (1.5 ล้านล้านบาท) กับการผ่าเพื่อรักษาปวดหลังเรื้อรัง และ 4 หมื่น 1 พันล้านเหรียญ (1.33 ล้านล้านบาท) กับการเปลี่ยนเข่า

ในการศึกษาล่าสุดโดยหลักสถิติโดยเอาการศึกษา 7 อันของการผ่าเพื่อแก้ปวดหลัง และ 3 อันของผ่าเข่าสำหรับปวดเรื้อรัง มารวมกัน (meta-analysis) พบว่าไม่มีหลักฐานมากพอว่าการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นผ่าเล็ก (minimally invasive) ผ่าธรรมดา ว่าได้ผลในการรักษาโรคปวดเข่าและหลังเรื้อรัง ถ้าเทียบกับการผ่าปลอม (sham procedure) นอกจากนั้นเค้าได้พบว่าที่ดีขึ้นหลังผ่าตัดส่วนใหญ่เกิดจากจิตใจ (placebo effect) น่าตกใจไหมล่ะ อย่างงี้จะผ่าทำไมเจ็บตัว เสียเงินเปล่า

ปัญหาของการปวดเรื้อรังพวกนี้คือพอหมอไห้ยาที่ไม่แรงมาก เช่น พาราเซตามอล หรือ NSAIDs แล้วก็ยังไม่ดีขึ้นก็มักจะจบที่การใช้ยาจำพวกมอร์ฟีน ซึ่งก็ยังช่วยบรรเทาอาการปวดไม่ได้มากเท่าไหร่ เพราะปัญหาของคนไข้บางคนเกิดมาจากทางจิต อันนี้ไม่ได้บอกว่าเป็นโรคจิตนะ แต่ว่าสมองนั้นสำคัญและมีพลังมากพอเริ่มเจ็บตอนแรกอาจจะจากการบาดเจ็บ ถึงร่างกายจะหายแล้วแต่สมองกับเส้นประสาทนี่ยังบอกว่าเจ็บ พอเราเห็นด้วย ไปๆมาๆ ก็ยิ่งเจ็บ หรือบางคนก็เป็นที่กล้ามเนื้อมันเกร็งจากหลายๆปัจจัยก็ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อก็ช่วยได้บ้างไม่ได้บ้าง

พอเป็นอย่างงี้ก็เลยไปผ่ากันเพราะหมดหนทาง แต่เราต้องเน้นกายภาพบำบัดที่มีคุณภาพ และต้องมีวินัยทำสม่ำเสมอ เพราะยาอย่างเดียวไม่พอ ตอนนี้ยังดีมีกัญชามาเป็นตัวคั่นกลางระหว่างยาพารา ยาแก้ปวดแรงๆอย่างอื่นกับมอร์ฟีนและยาที่พัฒนาจากฝิ่น และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการอยู่ก็ได้ เพราะมันออกฤทธิ์ได้ครบทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นการคลายกล้ามเนื้อจนถึงการบอกสมองว่าพอแล้ว มันไม่เจ็บแล้วนะ...

จะดีแค่ไหนเดี๋ยวต้องลองก่อน วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนครับ และเฉลยที่ว่า ‘ลดมันเลย’ ลดโรคไม่ให้เป็นโรคหัวใจ และลดการหาเรื่องเข้าตัว ไปผ่านู่น นี่ นั่น.

หมอดื้อ