มท.1 เผยจัดส่งบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติกว่า 95,000 หน่วย ให้ กกต.แล้ว จ่อถก ผวจ.ทั่วประเทศ ดูแลความสงบก่อนวันลงประชามติ ยันเลขบัตรประชาชน 13 หลักเชื่อมพร้อมเพย์ปลอดภัย ยังไม่สั่งพักงาน "ชายหมู" รอผลสอบข้อเท็จจริง
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 59 ที่กรมการปกครอง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารของกรมการปกครองว่า ได้มีการหารือถึงงานทะเบียน เพื่อสนับสนุนงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ในการจัดทำบัญชีรายชื่อหน้าหน่วยออกเสียงประชามติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้ส่งบัญชีรายชื่อกว่า 95,000 หน่วยออกเสียง ให้กับ กกต.แล้ว ส่วนการส่งหนังสือแจ้งเจ้าบ้าน จะเป็นหน้าที่ของ กกต.ดำเนินการ โดยใช้ข้อมูลที่กระทรวงมหาดไทยจัดเตรียมไว้ให้
พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงการแจกร่างรัฐธรรมนูญปลอมในพื้นที่ภาตะวันออกเฉียงเหนือว่า ขณะนี้ได้มีการดูแลความเรียบร้อยในเรื่องการลงประชามติ ทั้งการให้ความรู้จากวิทยากรในพื้นที่ ซึ่งกรมการปกครอง ได้รายงานความคืบหน้าในแต่ละพื้นที่แล้ว โดยยืนยันว่าไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด และในวันพรุ่งนี้ จะมีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อกำชับและดูแลความสงบเรียบร้อยก่อนจะถึงวันออกเสียงประชามติ รวมถึงเรื่องดังกล่าวก็เป็นหน้าที่ของ กกต. ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่สามารถพูดถึงเรื่องดังกล่าวได้ แต่เบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประสานงานกับ กกต. ทหาร และตำรวจ ตามที่มีการร้องเรียนเข้ามาเพื่อหาผู้กระทำผิด
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวถึงการให้บริการข้อมูลเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ที่มีความเชื่อมโยงกับระบบชำระเงินรูปแบบใหม่ หรือพร้อมเพย์ว่า จะมีความปลอดภัยอย่างแน่นอนเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับธนาคารพาณิชย์ และเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะมีระบบความปลอดภัยที่สามารถรองรับการป้องกันอันตรายจากการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งมีการหารือในกรอบเบื้องต้นในการยืนยันตัวตนบุคคล เพื่อเป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมทางการเงินเท่านั้น อีกทั้งตัวเลขบัตรประชาชน 13 หลักนั้นยังเป็นตัวเลขชุดเดิมที่มีความเชื่อมโยงกับการเสียภาษีของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งอยู่บนหลักพื้นฐานเดียวกัน และจะไม่มีความซับซ้อน ทั้งนี้ ตามกฎหมายสามารถทำได้เพียงการเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานกับชื่อนามสกุล และอายุเท่านั้น
...
นอกจากนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงกรณีกระแสเรียกร้องให้มีการสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ภายหลัง สตง.มีมติให้ดำเนินคดีอาญาและวินัย รวมถึงมีการส่อทุจริตในอีกหลายโครงการของ กทม. ว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ของกระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งตามกรอบเวลากำหนดให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ขณะนี้ยังไม่มีการรายงานความคืบหน้ามายังตนเองแต่หากผลสอบของคณะกรรมการออกมา พบข้อเท็จจริงที่เข้าข่ายก็จะพิจารณาอีกครั้ง ส่วนกรณี นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ใช้อำนาจ รมว.มหาดไทย เสนอคณะรัฐมนตรี ให้มีมติสั่งปลด ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ นั้น การจะใช้อำนาจดังกล่าวต้องรอให้ปรากฏข้อเท็จจริงก่อน