ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม พ่อแม่สมัยใหม่นิยมพาลูกไปเที่ยวต่างประเทศ เพื่อเปิดหูเปิดตา เดือนหน้าก็หยุดยาวสงกรานต์ 11–15 เมษายน คนไทยก็แห่ไปเที่ยวเมืองนอก โดยเฉพาะญี่ปุ่น เกาหลี ดูดอกซากุระบาน ถัดไป 1–5 พฤษภาคม รัฐบาลบิ๊กตู่ก็ใจดีหยุดยาวอีก 5 วัน คนไทยก็แห่ไปเที่ยวเมืองนอกอีก เพราะเมืองไทยอากาศร้อน
สรุปแล้ว รัฐบาลบิ๊กตู่ ประกาศวันหยุดยาวเพิ่มขึ้น กลับไม่ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ แต่ส่งเสริมให้คนไทยไปท่องเที่ยวเมืองนอกกันมากขึ้น
คุณยุทธชัย สุนทรรัตนเวช รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย คาดว่าช่วงวันหยุดยาวสองช่วง จะมีคนไทยไปเที่ยวเมืองนอกกันมากเป็นประวัติการณ์ เฉพาะ ญี่ปุ่น พบว่า มีคนไทยจะไปเที่ยวกว่า 5 แสนคน เฉลี่ยใช้จ่ายคนละ 50,000 บาท วันหยุดยาวสองช่วงเงินบาทไหลออกนอกประเทศไปกว่า 30,000 ล้านบาท
การหยุดยาวบ่อยๆ จึงเป็นนโยบายที่ไม่ดี คนไทยจะไปเที่ยวเมืองนอก แทนที่จะเที่ยวในเมืองไทย จึงอยากให้รัฐบาล “หยุดความคิดผิดๆ” อย่างนี้เสียที
วันก่อน คุณสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร ออกมาเตือนคนไทยที่จะพาลูกไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงปิดเทอมว่า ถ้าจะซื้อสินค้ามาใช้ส่วนตัว ต้องมีมูลค่าไม่เกิน 10,000 บาท หากซื้อเกินจะต้องไปเข้า “ช่องสีแดง” เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ถ้าเป็นสินค้าที่มีราคาเกิน 10,000 บาท จะต้องเสียภาษีนำเข้าตามราคาจริง
ผมยังนึกไม่ออกว่า เงิน 10,000 บาท ประมาณ 300 เหรียญสหรัฐฯ จะสามารถซื้อของมีค่าอะไรได้บ้างนอกจากขนม แค่ซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อดีหน่อยตัวสองตัวก็เกิน 10,000 บาทแล้ว ถ้ากรมศุลกากรจะใช้กฎหมายข้อนี้อย่างเคร่งครัด คนไทยทุกคนที่ไปเมืองนอก จะต้องเข้าช่องสีแดง เพราะซื้อสินค้าเกิน 10,000 บาท แน่นอน
...
แต่ปัญหาที่คนไทยเจออยู่ทุกวันนี้ โดยเฉพาะที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ก็คือ เจ้าหน้าที่ศุลกากรปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นธรรม ผู้โดยสารที่มีเส้นสายขนกระเป๋าเดินทาง 5 ใบ 10 ใบ ยี่ห้อแบรนด์เนมราคาใบละหลายหมื่น ไม่รู้ใส่อะไรมามากมาย ในสังคมไฮโซก็เป็นข่าวทุกวัน คุณนั่นคุณนี่ประชดผัว ซื้อกระเป๋าใบละล้านนำเข้ามาครั้งละเป็นสิบใบ แต่คนพวกนี้ไม่เคยต้องเสียภาษี เพราะมี “เจ้าหน้าที่รัฐ” ทั้ง ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเจ้าหน้าที่ศุลกากร คอยอำนวยความสะดวกให้เต็มที่เป็นที่ “รำคาญตาประชาชน” ที่ต้องผ่านด่านเดียวกันอย่างยิ่ง มีกระเป๋าใบเดียวถูกเรียกตรวจกันแทบทุกคน
เคยนึกจะ ถ่ายคลิปวีดิโอ ไว้เป็นหลักฐาน แต่ก็ไม่อยากทำ ทนเป็นพลเมืองชั้นสองที่ดีต่อไป การปฏิบัติหน้าที่สองมาตรฐาน ของ เจ้าหน้าที่ศุลกากร แบบนี้ เข้าข่ายความผิดอาญามาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีโทษติดคุกสถานเดียว ถ้ามีคนนำหลักฐานไปฟ้องร้องต่อศาล
ถ้ากรมศุลกากรจะปรับก็ต้องปรับให้เท่ากันหมด ไม่ใช่ปรับแต่คนที่ไม่มีเส้นสาย มันผิดมากหรือที่ไม่มีเส้นสาย ไม่เหมือนพ่อค้า นักการเมืองที่พวกท่านไปรับใช้อยู่ทุกเที่ยวบิน
ประเด็นที่ผมอยากเสนอต่อ คุณสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร คุณสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีคลัง และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไว้ตรงนี้ก็คือ กฎหมายกรมศุลกากรฉบับนี้เป็น กฎหมายไดโนเสาร์เต่าพันปี ใช้กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2469 มีอายุกว่า 89 ปีแล้ว เป็นคนก็หงำเหงือกแก่ตายไปแล้ว แต่ปัจจุบันยังนำมาใช้กันอยู่ และประกาศขู่ประชาชนอยู่ที่สนามบิน
เงิน 10,000 บาทเมื่อ 89 ปีก่อน เทียบกับเงิน 10,000 บาทในปัจจุบัน มูลค่ามันแตกต่างกันลิบลับไม่รู้กี่พันเท่า สมควรหรือไม่ที่จะนำมาใช้บังคับในปัจจุบัน
สิ่งที่ กรมศุลกากร ควรทำแทนการขู่ประชาชนก็คือ เสนอแก้กฎหมายศุลกากรฉบับนี้ทันที เพื่อให้เข้ากับ “ยุคปฏิรูป” ของ คสช. อีก 9 เดือน ไทยก็จะเปิดประเทศเป็น AEC แล้ว เราไม่รู้สึกอายเพื่อนบ้าน เขมร ลาว พม่า หรือไร ที่กรมศุลกากรไทยยังใช้กฎหมายไดโนเสาร์เต่าพันปีที่ประกาศใช้เมื่อ 89 ปีก่อนอยู่อีก.
“ลม เปลี่ยนทิศ”