ทั้ง “พ่อ-ลูก” ต่างก็ต้องช่วยกันทำงานเพื่อสร้างผลงานให้ประชาชนพึงพอใจ จะไปหวังลมๆแล้งๆอย่างอื่นคงไม่ได้

เพราะการเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 ก็ใกล้เข้ามาแล้วอีกแค่ 2 ปีเท่านั้น

ยิ่งผลการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ออกมานั้นก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้าง เข้าเป้าอย่างที่คาดหวัง หรือคาดการณ์เอาไว้ก็ยิ่งต้องเร่งมือทุกทาง

“ทักษิณ ชินวัตร” เพิ่งกลับจากการพบเจรจากับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวของประธานอาเซียน

เรื่องหลักก็คือการแก้ไขปัญหาของเมียนมาที่อาเซียนต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานความเข้าใจระหว่างรัฐบาลทหารและชนกลุ่มน้อยต่างๆ

หากทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีก็จะเกิดความสงบ ซึ่งแน่นอนว่าไทยก็จะได้รับความชื่นชมไปด้วย

ที่สำคัญไทยกำลังมีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ไปตั้งศูนย์อยู่ในเมียนมาก็จะได้ผนวกไปด้วย รวมถึงเรื่องยาเสพติด

อย่างที่ “ทักษิณ” ประกาศว่ายาเสพติด-คอลเซ็นเตอร์ต้องจบในปีนี้

ก็นี่แหละคือช่องทางที่จะไปสู่จุดนั้นได้!

เช่นกัน “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปเยือนจีนพบกับ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน ก็มีหลายเรื่องที่จะต้องมีการเจรจากัน

อย่างเรื่องคอลเซ็นเตอร์ที่จีนส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายความ มั่นคงเดินทางมาประเทศไทยเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาให้ไทย

พูดก็พูดเถอะ...ไทยจะได้ประโยชน์หลายอย่าง

ผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ผ่านมา ซึ่ง “ทักษิณ” ออกแรงไปมากพอสมควรในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ซึ่งต้องเดินทางไปปราศรัยเรียกคะแนนหลายจังหวัด

แม้จะมีการวางแผนเอาไว้อย่างดีโดยเลือกจังหวัดที่มั่นใจว่าต้องชนะแน่ แต่ผลที่ออกมาปรากฏว่าไม่เป็นไปนั้นคือ

คือชนะครึ่งแพ้ครึ่ง!

...

ใครจะว่าสิ้นมนต์ขลังหรือไม่สิ้นก็ตามแต่ทุ่มเทขนาดนี้แล้วไม่ได้ย่อมทำให้ “เสียหน้า” เป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่พรรคคู่แข่งอย่างประชาชนและภูมิใจไทยเท่านั้น

แต่มันเชื่อมโยงไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้อย่างแน่นอน

ว่ากันเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เพราะคนชื่อ “ทักษิณ” นั้น เสียอะไรไม่ว่าแต่เรื่องเสียหน้านั้นยอมไม่ได้เด็ดขาด

ว่ากันว่าจะมีการสอบสวนทวนความว่าเหตุแห่งความพ่ายแพ้นั้นมันเกิดจากอะไร บกพร่องตรงไหน ใครรับผิดชอบ

เน้นไปที่เชียงราย ลำพูน ศรีสะเกษ และเชียงใหม่ แม้ชนะแต่คะแนนเฉียดฉิวมาก

ก็ต้องไปไล่เบี้ยกันไปตามข้อเท็จจริง เพราะมิฉะนั้นจะเกิดปัญหาในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งจะผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมันหมายถึงว่าไม่สามารถรักษาอำนาจเอาไว้ได้

เพราะนี่คือหัวใจของเรื่อง

ประเด็นสำคัญก็คือ “ภูมิใจไทย” ซึ่ง “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นหัวหน้าพรรคนั้นได้แสดงอาการเย้ยเยาะหลังจากเอาชนะ “ลูกพี่เก่า” ได้

นี่แหละมันยิ่งเจ็บใจ!

ไปไกลกว่านั้นเพราะแวดวงการเมืองต่างให้ความเห็นตรงกันว่าเงานายกรัฐมนตรีคนใหม่กำลังทาบไปที่ “เสี่ยหนู” ชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

โอกาสของเขามาถึงแล้วหลังเลือกตั้งปี 2570

ดังนั้น ก่อนที่จะถึงวันนั้นก็ต้องหาทางเตะตัดขาเสียก่อน เพราะลีลาและท่วงทำนองนั้นก็ไม่ธรรมดา วันนี้เขาอ่อนน้อมเหมือนสยบยอมเพราะมันไม่ใช่วันของเขา

แต่ถ้าถึงวันของเขาเมื่อใดคงได้เห็นกัน!

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม