การเมืองดี ทุกอย่างก็ดีตาม...นี่เป็นสิ่งที่คนทุกชาติโดยเฉพาะชาติที่เจริญแล้ว และประชากรรู้จักสิทธิพลเมืองเป็นอย่างดียึดมั่น
ในประเทศที่เจริญแล้ว และเป็นมหาอำนาจจึงไม่ต้องมานั่งห่วงว่า การเมืองของพวกตนจะเป็นอย่างไร เพราะมีการจัดระบบระเบียบทางการเมืองไว้เรียบร้อยเพื่อให้ประชาชนในประเทศเดินตามกลไกที่มีอยู่
เมื่อไหร่ที่ผู้นำรัฐบาล และคณะรัฐมนตรี ไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชน กลไกทางการเมืองจะผลักดันให้เขาออกไปเอง แล้วเปิดให้ประชาชนเลือกตั้งกันใหม่ โดยไม่ต้องเกรงกลัวภัยคุกคามจากทหาร หรือกองกำลังติดอาวุธที่ไหน
ประเทศไทยก็เหมือนกัน การเลือกตั้งนายก อบจ.ที่เหลืออยู่ 47 จังหวัด ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา จากที่ครบวาระ และทยอยเลือกตั้งกันไปก่อนหน้า
ส่งสัญญาณว่า การเมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจมาช้านาน ได้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แม้ผู้คนจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงไม่มากนัก คือ 47.1 ล้านคนเศษ
และจากนี้ไปจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆจนเข้าสู่กระบวนการที่ให้อำนาจประชาชนอย่างแท้จริงในการตัดสินใจเลือกผู้นำ และรัฐบาลของตนเอง
เลือกแล้ว แต่ยังต้องเจอกับนักการเมืองรุ่นเก่า พวกรักการคอร์รัปชันเป็นนิจ ยังมีสินบาทคาดสินบนกันอยู่ ก็สามารถไล่ไอ้คนพวกนี้ออกไปได้ เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่
บางทีเราอาจต้องใช้เวลาไล่น้ำเน่าออกจากน้ำดีนานเท่าชั่วอายุคน แต่ก็ให้ผลที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะในการพัฒนาประเทศชาติสู่ความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ และสังคม
กลับมาดูผลคะแนนการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ออกมาอีกครั้ง จะเห็นว่าเอาจริงๆพรรคที่มีคะแนนสูสีหลังจากฟัดเหวี่ยงกันมาดุเดือดในศึกหาเสียงเลือกตั้ง ก็คือพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ที่ได้นายก อบจ.มา 10 จังหวัดเท่ากัน
...
10 จังหวัดที่พรรคเพื่อไทยได้คือ สกลนคร หนองคาย มหาสารคาม นครพนม นครราชสีมา ปราจีนบุรี ลำปาง แพร่ น่าน เชียงใหม่
ส่วน 10 จังหวัดที่พรรคภูมิใจไทยได้ก็คือ พิจิตร เชียงราย บึงกาฬ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ กระบี่ สตูล พังงา และลพบุรี
ยังไม่นับพรรค หรือกลุ่มพันธมิตรต่างๆที่จะเข้ามารวมกับทั้งสองพรรคนี้ในอนาคตไม่ว่าจะเป็น พรรคประชาชาติ กล้าธรรม ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา รวมไทยสร้างชาติ ส่วนพรรคประชาชนได้มาเพียง 1 เสียง
ทำให้มองไปในอนาคตข้างหน้าได้ว่า ที่สุดการเลือกตั้งใหญ่ในปลายปี 69 หรือ 70 จะมีแต่พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยเท่านั้นที่จะอยู่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล
ส่วนกลุ่มคนที่คิดต่างจากนี้ หรือที่ยังคิดว่าพรรคประชาชน ภายใต้การชักนำของบรรดาผู้นำจิตวิญญาณ อย่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล หรือหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน “เท้ง” (เต้ง)...ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ น่ะ
เพราะพรรคประชาชนไม่มีผลงานใดๆตลอดช่วงเวลาที่พรรคร่วมรัฐบาลทำงานกัน ซ้ำยังมี สส.บางคนออกมากดดันให้ต้องทำเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่น ตัดไฟที่ส่งไปขายยังเมียนมาเพื่อหยุดภัยไซเบอร์ให้ได้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ถ้าพวกเขาได้เป็นรัฐบาล ประเทศไทยคง ย.ต.ห.แน่ๆ.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม