ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ และเปิดยูทูบ

ฟังการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์การเมืองทั้งหลายในกรณีผลการเลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด แล้วก็นึกถึงภาษิตเก่าแก่ภาษิตหนึ่งที่คนไทยคุ้นเคยขึ้นมาทันที

“สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย” หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะพอนึกออก

เพราะเป็นภาษิตที่ใช้เปรียบเทียบการมองของสิ่งเดียวกัน แต่เห็นไปคนละอย่าง คิดไปคนละอย่าง ตีความไปคนละอย่างได้อย่างดียิ่ง

แสดงว่า “สายตา” ก็ดี “ความคิด” ก็ดี หรือสมัยนี้นักวิชาการเขาผนวกทั้ง 2 อย่างเข้าด้วยกัน คือทั้งสายตาและความคิดกลายเป็น “วิสัยทัศน์” ของแต่ละคนนั้นมักจะแตกต่างกันอยู่เสมอ

ช่องช่องเดียวแท้ๆ แต่สองคนที่เข้าไปยลมองเห็นเป็นคนละเรื่องต่างกันราวดินกับฟ้า (คือโคลนกับดวงดาว) ไปเลยทีเดียว

เหตุที่ผมนึกถึงภาษิตนี้ก็เพราะทั้งในการพาดหัวก็ดี ในการตั้งชื่อบทความหรือในการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งในหนังสือพิมพ์หรือยูทูบก็ดี จะออกมาคนละเรื่อง

ฝ่ายหนึ่งบอกว่า ทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยได้นายก อบจ. “ตามเป้า” ยังมี “มนต์ขลังเต็มเปี่ยม” ในขณะที่อีกฝ่ายตะโกนเสียงดังว่า “นายใหญ่สิ้นมนต์ขลังแล้ว” บ้าง “ทักษิณสิ้นมนต์ขลังแล้วบ้าง”

ครั้นเมื่อไปดูรายละเอียดว่าใครโพสต์หรือใครตะโกนออกมา ในแต่ละพาดหัว ก็จะพบว่ามาจากคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันกับคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของพรรคเพื่อไทยและคุณทักษิณนั่นเอง

ผมเคยเรียนแล้วว่า โดยตัวคุณทักษิณเองนั้น ท่านเหมือนกับบุคคลในภาษิตอีกบทหนึ่งคือ ภาษิตที่ว่า “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืินเสื่อ” คือมีทั้งคนรักและคนชังจำนวนมาก

...

บรรดา “ผืนหนัง” อาจจะมองแบบเข้าข้างท่านว่ามนต์ขลังยังเต็มเปี่ยม ส่วนบรรดา “ผืนเสื่อ” ก็อาจจะมองว่าท่านสิ้นมนต์ขลังแล้ว คนที่มองอะไรเป็นกลางๆ อย่าลืมเอา 2 หารด้วยก็แล้วกัน

สำหรับผมเองที่เติบโตมาจากสายข่าวต่างประเทศ ข่าวเศรษฐกิจ และข่าวกีฬา ยอมรับว่าไม่สันทัดข่าวการเมืองซึ่งค่อนข้างจะมีอะไร ซับซ้อนมากพอสมควร...เท่าไรนัก

ไม่แน่ใจว่าผมจะวิเคราะห์ผิดหรือเปล่าถ้าจะมองว่าที่คุณทักษิณไปปราศรัย รวม 10 จังหวัดแต่ชนะแค่ 5 จังหวัดทั้งๆที่ควรได้มากกว่านี้อาจเป็นเพราะลีลาการปราศรัยและข้อมูลที่ท่านใช้ปราศรัยนั่นเอง

เพราะท่านพูดถึงปัญหาระดับชาติ และวิธีแก้ระดับชาติ บางครั้งก็แถมระดับโลกด้วย จึงอาจเป็นเรื่องที่พี่น้องระดับจังหวัดยากจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นแม้จะมาฟังปราศรัยเยอะแต่ก็อาจจะ ไม่ได้คะแนนเสียงมากนัก

ต่างกับกลุ่ม “บ้านใหญ่” หรือกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคสีน้ำเงินที่ใช้วิธีหาเสียงแบบเจาะลึกพูดเรื่องที่ชาวบ้านเข้าใจและรู้ดีว่าเป็นปัญหาที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เผชิญอยู่

ส่งผลให้ผู้สมัครที่เชื่อกันว่าเป็นคนของพรรคนี้ได้มาถึง 9 ที่นั่งโดยเฉพาะที่ ศรีสะเกษ ที่เอาชนะคุณทักษิณได้อย่างหมดจด

ส่วนที่มองกันว่าเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งผลถึงเลือกตั้งใหญ่ปี 2570 โดยเฉพาะการส่งสัญญาณบางอย่างถึงพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนด้วยนั้น ผมก็ยังคงเห็นต่างและมองว่าอาจโยงหรือส่งผลได้บ้าง...แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรือเป็นเหตุผลหลัก

ผมยังเชื่อว่าสนามเลือกตั้งใหญ่ก็ยังคงเป็นสนามเลือกตั้งใหญ่ในการหาเสียงก็ต้องใช้วิธีที่เหมาะสมกับสนามใหญ่ หรือวิธีอื่นใดที่มิใช่วิธีที่ใช้สำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่นอย่างนายก อบจ.

ดังนั้นทุกพรรคจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือจากนี้ (ถ้ารัฐบาลอยู่ครบเทอม) ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล

เพราะประชาชนจะลืมการเลือกตั้งนายก อบจ.ในเร็วๆนี้ ฉะนั้นอย่าดีใจอย่าเสียใจเกินเหตุ...ถึงขั้นลืม “ทำการบ้าน” ที่เหมาะกับการเลือกตั้งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้าก็แล้วกัน.

"ซูม"

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม