นักการเมืองนั้นจะคิดอะไรทำอะไรย่อมหวังผลจากสิ่งนั้นเสมอยิ่งไปกว่านั้นยังอาศัยช่วงจังหวะที่เอื้อกับสถานการณ์นั้นด้วย
ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการเลือกตั้งท้องถิ่นนายก อบจ.และสมาชิกสภาจังหวัดที่ต่อสู้กัน 3 พรรค คือ เพื่อไทย ประชาชนและภูมิใจไทย
1 ก.พ.68 เป็นวันชี้ชะตาว่าผู้สมัครพรรคไหนจะชนะ
ก็ปรากฏว่าพรรคภูมิใจไทยได้เสนอแนวคิดในการดำรงตำแหน่งของนักการเมืองท้องถิ่นจาก 2 สมัย เป็น 8 สมัย และลดอายุผู้บริหารท้องถิ่นจาก 35 ปี เป็น 25 ปี
อีกทั้งจะเสนอให้เพิ่มงบประมาณท้องถิ่นให้มากขึ้นด้วยการตัดงบในส่วนที่จะนำเข้าส่วนกลางมาเพิ่มให้กับท้องถิ่น
3 ประเด็นหลักๆที่ทำให้ท้องถิ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจยิ่งหากสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอนี้ได้
“ภูมิใจไทย” โดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคและดำรงตำแหน่งมหาดไทย เมื่อพรรคนี้คุมกระทรวงมหาดไทยซึ่งรับผิดชอบงานท้องถิ่นด้วย
จึงไม่น่าเกลียดแต่เป็นงานโดยตรงที่ปรับปรุงเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
พูดง่ายๆคือสร้างผลงานและสอดรับกับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
ในเรื่องอายุของผู้บริหารที่อายุ 25 ปีนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะแม้แต่นายกรัฐมนตรียังอายุเพียงแค่ 38 ปีเท่านั้น อีกทั้งยังบรรลุนิติภาวะแล้วด้วย
นี่เท่ากับสร้างแรงจูงใจให้คนหนุ่มคนสาวสนใจการเมืองมากขึ้นตามยุคสมัยและคงพอใจไอเดียนี้อย่างแน่นอน
ผู้สมัครของภูมิใจไทยก็จะได้เสียงจากคนรุ่นใหม่โดยปริยาย
ที่เสนอให้ผู้บริหารสามารถดำรงตำแหน่งจาก 2 สมัยเป็น 8 สมัย ย่อมสร้างความคึกคักให้กับนักการเมืองท้องถิ่นเพราะสามารถเล่นการเมืองได้นานขึ้นแม้จะมีอายุมากขึ้นก็ตาม
เรื่องงบประมาณนั้นไม่ต้องพูดถึงไม่ว่าท้องถิ่นไหนก็อยากได้มากขึ้นอยู่แล้ว
...
แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียในเรื่องเดียวกัน โดยเฉพาะที่ดำรงตำแหน่งได้หลายสมัยนั้นอาจจะเกิดปัญหาการผูกขาดอำนาจ
เพราะนักการเมืองท้องถิ่นที่เห็นและเป็นอยู่นั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนของตระกูลดังๆในท้องถิ่นนั้นๆที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” ซึ่งแม้จะใกล้ชิดชาวบ้านแต่ก็มีอิทธิพลสูงกว่าคนทั่วๆไป
หากให้อยู่ในอำนาจมากกว่านี้ก็ยิ่งผูกขาดอำนาจยาวนานขึ้นไปอีก
ถ้าเป็นคนดีซื่อสัตย์สุจริตดูแลเอาใจใส่พัฒนาจริงๆก็ดีไป
แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้อำนาจบารมีแสวงหาผลประโยชน์ก็จะเกิดปัญหาและนำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงจนทำให้เกิดความรุนแรงในท้องถิ่นขึ้นมา
เพราะ “บ้านใหญ่” นั้นถ้าเรียกชื่อนี้ก็ดูดีหน่อย!
แต่ถ้าเรียกว่า “เจ้าพ่อ” ก็ดูจะน่ากลัวน่าเกรงขามมากขึ้น
ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ต่างกันในความเป็นจริงเพราะจะเป็นผู้มีอิทธิพลใหญ่คับท้องถิ่น มีลูกน้องบริวารเต็มไปหมด
หนักไปกว่านั้นยังมีซุ้มมือปืนคอยปกป้องอยู่ข้างหลังด้วย
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือการเป็นผู้จัดการจัดการผลประโยชน์ต่างๆทั้งหมดสามารถสั่งให้ผู้รับเหมาได้งานประมูลได้
หากยอมสวามิภักดิ์!
หรือมิฉะนั้นก็รับงานเองทั้งหมดเพียงแต่จะแบ่งบางส่วนให้พวกเดียวกันเท่านั้น
ใครอยู่ตรงข้ามก็ไม่มีทางได้งาน
อีกทั้งจะครอบคลุมไปถึงเจ้าของร้านค้าวัสดุอุปกรณ์การค้าทั้งหมด ฝ่ายตรงข้ามมาสั่งซื้อก็จะไม่ได้ของเพราะเป็นคนละพวก
นี่คือความจริงอีกมุมหนึ่ง
นี่คือสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมท้องถิ่นไทย!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม