“พล.อ.อ.พันธ์ภักดี” ยัน เครื่องบินโจมตีเบา AT-6TH ตอบโจทย์กองทัพอากาศ บินลาดตระเวนชายแดน บันทึกภาพ เหมาะพื้นที่ป่า-ภูเขา ชี้ “โดรน” มีโอกาสโดนแฮ็กได้ การใช้เครื่องบินแบบมีนักบินจึงยังมีความจำเป็น
วันที่ 25 มกราคม 2568 พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวถึงโครงการเครื่องบินโจมตีเบา AT-6TH ที่เข้าประจำการกองทัพอากาศ ประจำฝูงบิน 411 กองบิน 41 จ.เชียงใหม่ จำนวน 8 เครื่อง ว่า เป็นเครื่องบินที่กองทัพอากาศจัดหาจากสหรัฐอเมริกา ตามโครงการช่วยเหลือทางการทหาร หรือ 333 ในการใช้ระบบ AERONet กล้องที่ติดตั้งมา ซึ่งเราจะนำมาพัฒนาต่อยอดต่อไป
ส่วนของการสร้างงานจากโครงการ AT-6TH เราได้จ้างคนไทยในการประกอบเครื่องดังกล่าว ส่งผลให้ตัวโครงการนอกจากเพิ่มความพร้อมในการป้องกันประเทศด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเทคโนโลยีการบิน (Avionics) ที่เทียบเท่าเครื่องบินยุค 4.5 แม้จะเป็นเครื่องใบพัด แต่การสร้างบุคลากรที่มีความพร้อมในอนาคตเครื่องบินดังกล่าวจึงมีความเหมาะสม
สำหรับคุณสมบัติที่เหมาะสมนั้น เข้ากับพื้นที่ภูมิประเทศของภาคเหนือที่เป็นป่าและภูเขา ผ่านการลาดตระเวนและรับมือภัยคุกคาม เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย ผ่านการบินถ่ายภาพด้วยระยะเวลาที่นานและความเงียบ โดยมีระบบกล้องที่เชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี
ทั้งนี้ภารกิจของกองทัพอากาศมีอยู่สามมิติหลัก ได้แก่ มิติทางอากาศ มิติไซเบอร์ และมิติอวกาศ ซึ่งในมิติทางอากาศ AT-6TH ตอบโจทย์สมบูรณ์ ทำให้เราพัฒนากำลังพล-นักบิน-เจ้าหน้าที่สนับสนุนการบิน รวมทั้งอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
เมื่อถามว่าเครื่องบิน AT-6 มีความแตกต่างจากโดรนอย่างไร ผบ.ทอ. กล่าวว่า เนื่องจากโดรนไม่มีนักบิน จึงมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น สมมุติว่าโดรนโดนแฮ็ก ก็จบเลย และหากโดรนติดอาวุธ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกนำไปปล่อยที่ไหน เราจึงมีความเชื่อว่าหลังเราไปงานแอร์โชว์หลายที่ พบว่าหลายประเทศมีขีดความสามารถในการแฮ็กโดรนได้ ซึ่งโดรนก็ยังมีความจำเป็นในหลายด้านและประหยัด ปลอดภัย แต่เครื่องบินที่ต้องมีนักบินขับเคลื่อนก็ยังมีความจำเป็นอยู่
...
สำหรับความพร้อมในการตอบสนองนโยบายของกระทรวงกลาโหมในการสกัดกั้นยาเสพติด ที่แต่ละเหล่าทัพจะต้องมีการส่งแผนงานวันที่ 30 ม.ค.นี้ ผบ.ทอ. กล่าวว่า ทางกองทัพอากาศมีความพร้อม ในอุปกรณ์ที่จะสนับสนุน โดยเฉพาะการติดกล้องลาดตระเวนถ่ายภาพ