ในบรรดากระทรวงที่ถูกจัดให้เป็นกระทรวงเกรด A+ อย่างกระทรวงคมนาคม และ กระทรวงการคลังแล้ว ยังมีอีกแห่งที่เจ้ากระทรวงออกมาลุยแก้ปัญหาเรื่องการที่คนไทยจำนวนมาก

ต้องตกเป็นเหยื่อของสแกมเมอร์ที่ใช้วิธีการทุกรูปแบบหลอกลวงเอาเงินพวกเขาไปโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นกระทรวงเกรด A+ กับเขาด้วย

กระทรวงที่ว่านี้ก็คือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม (ดีอี) ที่มี ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการ เป็นผู้กำกับดูแลตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครแสดงความจริงจังจริงใจในการช่วยประชาชนคนไทยแก้ไขปัญหานี้เลย

แม้จะพบว่ามีผู้คนไปแจ้งความจำนวนมากกว่าครึ่งของประชากรไทย 66 ล้านคน ในจำนวนนี้มีคนราว 50% สูญเสียทรัพย์สิน และเงินในบัญชีไปเป็นมูลค่าสูงถึง 50,000 ล้านบาทในปี 2566 (ผลสำรวจของคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ)

ลำพังตำรวจกับทหารแก้ปัญหานี้ไม่ได้ นอกจากลงบันทึกประจำวันไป ถ้ารัฐบาลไม่เข้ามาช่วยเหลือ และหามาตรการต่างๆเข้าไปผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาจริงจัง ก็ยากจะช่วยเหลือผู้คนได้

ที่ผ่านมา รมว.ดีอี ร่วมกับตำรวจ และทหาร ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด กระทั่งจับได้ว่า มีการลักลอบเดินสายเคเบิลอินเตอร์เน็ตเข้าไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ซ้ำยังพบเส้นทางเงินที่มีการหลอกลวงไปนั้น ไหลเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงไทยด้วย 3 ประเทศ

ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา และลาว สูงถึง 1.53 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของจีดีพีรวม 3 ประเทศ โดยเมียนมาได้เงินจากการสแกมเมอร์ หรือการหลอกลวงผู้คนจากทั่วโลกมากที่สุด

สิ่งที่ รมว.ดีอีทำมาตลอดเข้ามารับหน้าที่ก็คือ ร่วมมือกันกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดและปราบปรามการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการยกเครื่องกระบวนการปิดกั้นเว็บผิดกฏหมายทุกประเภท ลุยตัดวงจรอุบาทว์ในขบวนการโจรออนไลน์

...

พร้อมๆกับกวาดล้างซิมม้า และคนไทยจำนวนมากที่ทั้งถูกล่อลวง และสมัครใจไปรับจ้างเป็นสแกมเมอร์กลับมาหลอกลวงคนไทยด้วยกันเอง

ล่าสุด รมว.ดีอี เสนอร่าง พ.ร.ก.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ที่มีข้อบัญญัติให้ธนาคาร และค่ายมือถือในฐานะเจ้าของ “ซิมม้า” ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบกับความเสียหายของประชาชน

ในเวลาเดียวกันก็จะสร้างระบบเชื่อมโยงข้อมูลธนาคารต่างๆไปแจมกับระบบของสำนักงานปปง.เพื่อหยุดวงจรการฟอกเงินรวมถึงการควบคุมการเปลี่ยนโอนสกุลเงินไปสู่สกุลเงินดิจิทัลด้วย

แต่แม้จะมีมาตรการเข้มงวดภายในประเทศขนาดนี้แล้ว ถ้ายังขาดการเจรจาการทูตกับ 3 ประเทศนี้ รวมถึงพี่ใหญ่อย่างจีน มาตรการนี้อาจไม่สำเร็จ โดยเฉพาะกับเมียนมา ซึ่งมีช่องทางเข้า-ออกไทยได้มากถึง 37 แห่ง ขณะที่พื้นที่ชายแดนไทยก็ไม่ใช่ของรัฐบาลเมียนมา แต่เป็นของกะเหรี่ยง

กูรูด้านการเมืองร่วมสมัยจึงอยากให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเอาสโลแกน “คิดใหม่ ทำใหม่” กลับมาใช้แก้ปัญหานี้ พร้อมกับส่งผู้มีบารมีจริงๆไปคุยกับชาติต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และคนที่รู้ๆอยู่ว่าทำได้ ก็คือทักษิณ ชินวัตร นี่แหละ.


มิสไฟน์

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม