“นายกฯอิ๊งค์” ลุยภูเก็ตนั่งหัวโต๊ะถกบูรณาการ แก้ปัญหาจังหวัด ดันสางปัญหาระบบโครงสร้างพื้นฐาน สานฝันดันขึ้นชั้นเมือง “พรีเมียม เดสติเนชั่น” รองรับบิ๊กอีเวนต์ ขันนอตตำรวจโฟกัสเข้มเด็ดขาดปราบปรามผู้มีอิทธิพล กำจัดสิ่งผิดกฎหมาย เรียกความเชื่อมั่นให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย “ผวจ.ภูเก็ต” ชงใช้เอไอควบคุมจราจรทั่วเมือง ศึกษาสร้างรถไฟฟ้ารางเบา พร้อมดึงน้ำเขื่อนรัชชประภาแก้โจทย์ขาดแคลนน้ำ นายกฯรับต้องทบทวนมาตรการป้องกันใช้ประเทศไทยก่ออาชญากรรม “โรม” หยันรัฐบาลเสียเหลี่ยมเมียนมา จี้นายกฯขยับจริงจังล้างบางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อุบไต๋ลากปมร้อนขึ้นเขียงซักฟอก ป.ป.ช.ฟันอดีตนายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี ร่ำรวยผิดปกติ 231 ล้าน ส่งศาลสั่งยึดทรัพย์เซ่นทุจริตต่อหน้าที่

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขับเคลื่อนการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ภูเก็ต ประชุมบูรณาการการแก้ปัญหาพื้นที่ภูเก็ตครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยว พร้อมกำชับการปราบปรามผู้มีอิทธิพล เร่งสร้างความเชื่อมั่นและความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

นายกฯนำคณะตรวจราชการภูเก็ต

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 ม.ค. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมนายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางจากไปยังท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อตรวจราชการ ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยระหว่างอยู่บนเครื่องบิน น.ส. แพทองธารและคณะได้หารือเตรียมข้อมูลก่อนลงพื้นที่

ผวจ.เล็งใช้เอไอคุมจราจรทั่วเมือง

...

จากนั้นเวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมท่าอากาศ ยานนานาชาติภูเก็ต น.ส.แพทองธารเป็นประธานการประชุมบูรณาการการแก้ปัญหาพื้นที่ภูเก็ต รองรับการเติบโตของการท่องเที่ยว แนวทางการแก้ปัญหาด้านระบบโครงสร้างพื้นฐาน และการผลักดันภูเก็ต เป็น Premium Destination และการรองรับกิจกรรมขนาดใหญ่ (Big Event) โดยนายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผวจ.ภูเก็ต รายงานเนื้อหาสรุปว่า จ.ภูเก็ตมีแนวทางแก้ปัญหาการจราจรในพื้นที่ โดยมีโครงการจะนำระบบเอไอมาควบคุมไฟจราจรทั้งจังหวัด และอยากให้ศึกษารถไฟฟ้ารางเบา แก้ปัญหาการจราจร รวมถึงเสนอแนวทางให้ใช้น้ำจากเขื่อนรัชชประภามาแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยว และแนวทางการบำบัดน้ำเสียและการกำจัดขยะในพื้นที่ รวมถึงจะพัฒนาแผนการดูแลนักท่องเที่ยวและแนวทางป้องกันเหตุภัยพิบัติ นอกจากนี้ จ.ภูเก็ต ยังจะพัฒนาการดูแลสุขภาพ ที่พื้นที่ จ.อันดามัน 6 จังหวัดไม่มีศูนย์ฉายแสงรักษามะเร็ง กระทรวงสาธารณสุข ให้เครื่องฉายแสงมาแต่จังหวัดต้องจัดสร้างอาคารเอง พื้นที่ได้แล้วแต่ขณะนี้ต้องหางบฯ จัดสร้างอาคาร 5 ชั้นครึ่ง จะใช้งบฯ 290 ล้านบาท รับบริจาคได้ 152 ล้านบาทเพียงพอทำเฟสแรก 2 ชั้นได้แล้ว แต่ในอนาคตหากต้องพัฒนาให้สมบูรณ์แบบอาจต้องของบฯจากส่วนกลางเพิ่มเติม

“อิ๊งค์” จี้โครงการใดอนุมัติแล้วต้องจบไว

ขณะที่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า วันนี้มาติดตามงาน ปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทย 35 ล้านคน ก่อนช่วงโควิดมีนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคน ถือว่าใกล้เคียงแล้ว และ 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวต่างมาที่ภูเก็ต ซึ่งในส่วนของภูเก็ตนั้นปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวมากกว่าช่วงก่อนโควิดแล้ว ถือว่ามีการปรับตัวที่ดี อยากให้โฟกัสเรื่องพรีเมียมการท่องเที่ยว เราอยากสนับสนุนชาวบ้านที่ค้าขายหรือมีธุรกิจส่วนตัว อย่างโบลท์แท็กซี่ หากเอกชนเข้ามาช่วยและรัฐบาลสนับสนุน จะเกิดธุรกิจขนาดใหญ่กลายเป็นธุรกิจหลักได้อีกอันหนึ่ง สำหรับการเดินทางใน จ.ภูเก็ต กระทรวงคมนาคมมีแผนงานและอนุมัติงบฯไปแล้ว ขอสั่งการให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ และส่วนถนนเส้นหลักสาย 402 ที่ระบุว่า 25 กม.มีจุดตัดถึง 19 จุด ถ้าปรับปรุงอยากให้สื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องส่วนรวมหากปรับแล้วการจราจรดีขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวมาจะแฮปปี้ อยู่นานขึ้น ระบบขนส่งสาธารณะจากสนามบินเข้าเมือง ต้องสื่อสารว่าเมื่อเราปรับตรงนี้ไม่ได้ทำลายอาชีพใคร แต่ปรับตัวให้เกิดอาชีพใหม่ ที่อยากให้มีรถอีวีบัสเข้ามา อยากให้ศึกษาและทำความเข้าใจเพราะไม่ได้หมายความว่าเมื่อเพิ่มตรงนี้แล้วประชาชนที่มีรถส่วนตัวจะเลิกใช้รถ อยากให้พิจารณาให้รอบคอบ สำหรับการบริหารจัดการน้ำ อยากเน้นย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โครงการใดได้รับอนุมัติงบฯแล้วขอให้เร่งดำเนินการ ฝากกระทรวง มหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯให้ศึกษาการนำน้ำมาจากเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี และโครงการอ่างเก็บน้ำลำรูใหญ่ จ.พังงา มาใช้ในภูเก็ตด้วย

ย้ำ ตร.ปราบผู้มีอิทธิพล

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า สำหรับการท่องเที่ยวเราเน้นย้ำให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของเฟสติวัล ขนาดใหญ่ ตำรวจท่องเที่ยวดูแลประชาชนอย่างดีอยู่แล้ว แต่อยากให้มีการประชุมเฉพาะส่วนกันอีกครั้งเพื่อดูว่ามีอะไรที่ส่วนกลางสามารถสนับสนุนเพิ่มเติมได้ เพราะอยากรับฟังความคิดเห็นและรีเซ็ตระบบใหม่ว่าอะไรที่ใช้มาแล้วต้องปรับเปลี่ยนบ้าง เช่น การพัฒนาบุคลากรการนำระบบเอไอมาช่วยงานเพิ่มขึ้น เพราะรายได้อยู่ที่การท่องเที่ยวต้องดูแลตรงนี้ ส่วนการปราบผู้มีอิทธิพลสำคัญมาก สิ่งผิดกฎหมายที่เกิดขึ้น อยากให้ตำรวจโฟกัสจริงจังไม่อยากให้ประชาชนรู้สึกไม่ปลอดภัย ไปพูดว่าคนมีเงินคนมีอิทธิพลพอมีปัญหาทุกอย่างจบ ประชาชนไม่ได้รับการดูแล ผู้ไม่มีอิทธิพลถูกไล่บี้โดนต่างๆ นานา เป็นปัญหาต่อชีวิตประชาชน อยากเน้นย้ำกฎหมายให้ใช้เด็ดขาด ไม่อยากให้ละเว้น ถ้าเราเอากฎหมายมาใช้อย่างจริงจังประชาชนปลอดภัยและประเทศชาติมีระเบียบยิ่งขึ้น

หนุนเต็มที่ดึงนักท่องเที่ยวลักซ์ชัวรี่

จากนั้น น.ส.แพทองธาร นั่งรถตู้โฟล์ค ทะเบียน 1 นค 9298 กรุงเทพมหานคร ไปที่ท่าเทียบเรือยอชต์ เฮเว่น มารีน่า ต.ไม้ขาว อ.ถลาง เป็นประธานพิธีเปิดงานแสดงเรือนานาชาติแห่งประเทศไทยและลักซ์ชัวรี่ไลฟ์สไตล์ มีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงานและนายเดวิด เฮเยอร์ (Mr.David Hayes) ประธานบริษัท เจเอเอ็นดี กรุ๊ป เจ้าภาพจัดงานต้อนรับ โดย น.ส.แพทองธารกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่ารัฐบาลเน้นย้ำเราสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยว ขอเน้นย้ำว่าอยากให้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวเป็นกลุ่มลักซ์ชัวรี่มากขึ้น การจัดงานครั้งนี้ตอบโจทย์ เรามีทั้งคนไทยที่มีความสามารถ มีอู่ซ่อมและการบริการต่างๆ ที่เพียบพร้อมให้ชาวต่างชาติและคนที่รักในลักซ์ชัวรี่สไตล์แบบนี้ได้มาใช้ชีวิตช่วงวันหยุดให้มีความสุขที่ภูเก็ตได้ รัฐบาลอยากสนับสนุนต่อให้เต็มที่ เคยอยู่ภาคเอกชนมาก่อนจะทราบว่าบางทีการทำธุรกิจจะมียุ่งยากเรื่องการประสานงานกับทางราชการ แต่การเดินทางทางน้ำและทำธุรกิจทางน้ำรัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ จึงอยากมาแบ่งเบาความยุ่งยากหลายขั้นตอนตรงนี้ให้นักธุรกิจที่ภูเก็ตด้วย ย้ำว่ารัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ ผลักดันการท่องเที่ยวแบบนี้ให้เติบโตมากขึ้นต่อไป

ดูพะยูน “บุญลอด” โชว์พุงริมหาด

ต่อมาเวลา 13.30 น. ที่ศูนย์เฝ้าระวังพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก หาดบางขวัญ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา น.ส.แพทองธารลงพื้นที่ดูการสังเกตการณ์พะยูนที่มีการอพยพมาจาก จ.ตรัง โดยได้ดูภาพถ่ายทอดสดจากโดรนที่กำลังจับภาพพะยูนชื่อ “บุญลอด” กำลังกินสาหร่ายทะเล และหมุนตัวโชว์พุงอยู่ โดยเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช รายงานว่าชื่อบุญลอด เพราะน้องชอบลอดไปลอดมาใต้สะพานสารสิน และเมื่อวันที่ 1 พ.ย.67 พบว่ามีฝูงพะยูนจาก จ.ตรัง อพยพมาที่บริเวณนี้หลายสิบตัว แต่หลังจากปีใหม่ที่ผ่านมาพบว่ามีพะยูนมากินอาหารบริเวณนี้เพียง 1 ตัว ที่ตั้งชื่อพะยูนโดยใช้ระบบโฟโต้ไอดีจำแนกอัตลักษณ์ว่าแต่ละตัว ชื่อว่าอะไร ที่พบจุดนี้จะมีชื่อว่าบุญลอด สารสิน พลางนุ่น ทรายแก้ว ชื่อที่ตั้งอ้างอิงตามสถานที่ที่พบ จากนั้นเจ้าหน้าที่นำนายกฯ ไปดูการขยายพันธุ์หญ้าทะเล อาหารของพะยูน นำผักน้ำทดลองให้พะยูนกิน หากหญ้าทะเลโตไม่ทัน

เยี่ยมชมอ่างเก็บน้ำฝีมือ “ทักษิณ”

ต่อมาเวลา 14.30 น. ที่อ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง จ.ภูเก็ต น.ส.แพทองธารลงพื้นที่ตรวจติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยได้พบปะทักทายประชาชนที่นำดอกกุหลาบแดงมารอต้อนรับ จากนั้นรับฟังการบรรยายจากนายฐนันดร์ สุทธิพิศาล รองอธิบดีกรมชลประทาน สรุปว่า จ.ภูเก็ต มี 3 อ่าง คือ อ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ อ่างเก็บน้ำบางวาดและโครงการอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ ปัจจุบันเก็บน้ำเต็มประสิทธิภาพแล้ว และอ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ สร้างขึ้นสมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ เมื่อปี 46 ใช้งบฯ 600 ล้านบาท จากนั้นนายกฯ เดินชมอ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ จะขุดทำแก้มลิงโคกโตนด อยู่ห่างบริเวณนี้ไป 8 กม. เนื่องจากอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ไม่สามารถขยายได้อีกแล้ว นายกฯให้ไปคุยกับกรมชลประทานแล้วมาเสนอว่าทำอะไรได้บ้าง หากทำทีละส่วนเวลาผ่านไปทุกอย่างแพง ความเดือดร้อนประชาชนวัดมูลค่าไม่ได้รอไปก็เท่านั้น จากนั้นจึงเดินทางกลับ กทม.

“มาริษ” แจงเอ็มโอยู 44 ยังไม่คืบ

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามทั่วไปของนายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคประชาชนที่สอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจาไทยและกัมพูชาตามกรอบเอ็มโอยู 44 และกรณีการนำพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาใช้ระหว่างที่การเจรจาข้อพิพาทจะแล้วเสร็จ โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า รัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการใดๆเรื่องดังกล่าว ตามกรอบเอ็มโอยู 44 มีข้อกำหนดให้รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายต้องเจรจาร่วมกัน รัฐบาลไทยมีกลไกกรรมการร่วม แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ตั้งกรรมการดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา ปลายเดือน ม.ค. กระทรวงต่างประเทศจะจัดเวทีสัมมนาเพื่อรับฟังความเห็นในประเด็นดังกล่าว

“ธนกร” หนุนเลื่อนถกแก้ รธน.

นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการประสานงาน (วิป 3 ฝ่าย) มีมติให้เลื่อนการพิจารณาการประชุมร่วมรัฐสภาในวาระการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรรมนูญออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมวันที่ 14-15 ม.ค. เป็นวันที่ 13-14 ก.พ. เห็นด้วยเพื่อให้รอบคอบรอบด้าน เนื่องจากมีผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะการเสนอแก้มาตรา 256 และส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ต้องดูรายละเอียดให้ดี ต้องพิจารณายึดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เป็นที่ตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หรือสุ่มเสี่ยงที่รัฐสภาจะขัดต่อรัฐธรรมนูญได้ การรับฟังเสียงจากทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันถูกต้องแล้ว เริ่มต้นปีใหม่อันดับแรกทั้ง 2 สภาและรัฐบาลควรเร่งพิจารณากฎหมาย ออกนโยบายฟื้นเศรษฐกิจประเทศ แก้ปัญหาหนี้สิน ปัญหาปากท้อง เพื่อเพิ่มรายได้พัฒนาความเป็นอยู่ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ฟันอดีตนายกราชบุรีรวยผิดปกติ

วันเดียวกัน นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนางศมานันท์ เหล่าวณิชวิศิษฐ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี จ.ราชบุรี ร่ำรวยผิดปกติรวม 231,742,807บาท จากการไต่สวนพบว่านางศมานันท์มีรายได้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี วาระ 1 วันที่ 27 ต.ค.53-26 ก.ย.57 และวาระ 2 วันที่ 23 ก.พ.58-28 เม.ย.59 แจ้งมีรายได้ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 54-59 รวมคู่สมรสเป็นเงิน 6,984,464 บาท แต่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นภายหลังเข้ารับตำแหน่งไม่สัมพันธ์รายได้ รวม 231,742,807 บาท ดังนี้ 1.เงินฝากในบัญชีนางศมานันท์และคู่สมรสและเงินฝากในบัญชีคู่สมรส 8 บัญชี 180,453,667 บาท 2.เงินกู้จากธนาคารในชื่อคู่สมรส 1 แห่ง ลดลง 48,289,140 บาท 3.รถยนต์ MERCEDES BENZ ของคู่สมรส เช่าซื้อกับธนาคาร 2 คัน 3 ล้านบาท พิจารณาแล้วมีมติว่านางศมานันท์ร่ำรวยผิดปกติ ไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย เนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่ 231,742,807 บาท ให้ส่งรายงานสำนวนไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และส่งคำวินิจฉัยไปยังผู้มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่งภายใน 60 วัน ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่

เชือดอดีต ผอ.สำนักพุทธสิงห์บุรีรวยเกิน

นายสาโรจน์กล่าวว่า ป.ป.ช.ยังมีมติชี้มูลความผิดนายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.สิงห์บุรี ร่ำรวยผิดปกติ 30,089,846 บาท ไต่สวนพบว่านายณรงค์เดช ขณะดำรงตำแหน่งนักวิชาการศาสนาชำนาญการ ผอ.สำนักงานพระพุทธ ศาสนา จ.อำนาจเจริญ ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาและ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.สิงห์บุรี และคู่สมรสมีรายได้ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 52-60 รวม 3,779,010 บาท แต่ถือครองทรัพย์สินจำนวนมากไม่สัมพันธ์รายได้ 30,089,846 บาท ดังนี้ 1.ทรัพย์สินในชื่อนายณรงค์เดช มูลค่า 8,983,198 บาท ได้แก่ เงินฝาก 4 บัญชี 7,499,587 บาท ยานพาหนะ 3 คัน 1,333,611 บาท เงินชำระหนี้เงินกู้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 1.5 แสนบาท 2.ทรัพย์สินในชื่อคู่สมรส (จดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.60) รวม 19,606,648 บาท ได้แก่เงินฝาก 14 บัญชี 11,616,105 บาท สลากออมสินพิเศษ 2 ฉบับ 1 ล้านบาท เงินลงทุนในหลักทรัพย์ 640,542 บาท ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง อ.เมืองขอนแก่น 6.35 ล้านบาท 3.ทรัพย์สินในชื่อมารดาคู่สมรส เป็นสลากออมสินพิเศษ 1 ฉบับ 1.5 ล้านบาท มีมติว่านายณรงค์เดชร่ำรวยผิดปกติ 30,089,846 บาท ให้ส่งสำนวนไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ให้ส่งคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วันฐานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่

นายกฯย้ำคุมเข้มก่ออาชญากรรม

เมื่อเวลา 08.50 น. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ถึงการเฝ้าระวังการใช้ประเทศไทยก่อปัญหาอาชญากรรม หลังมีการลอบสังหาร สส.ฝ่ายค้านกัมพูชาในประเทศไทย รวมถึงการหลอกนักแสดงชาวจีนไปประเทศเพื่อนบ้านว่า เรื่องนี้ให้ความสำคัญ มากอยู่แล้ว และต้องดูเรื่องกฎหมายด้วย ต้องให้มาดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะบางทีหลายเรื่องมีกฎอยู่แล้วแต่ไม่ได้เน้นย้ำ จึงต้องเน้นย้ำให้ประชาชนรับทราบด้วย เมื่อถามว่าต้องทบทวนมาตรการอื่นๆ รวมถึงบริเวณแนวชายแดนด้วยหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า “ต้องทบทวนด้วย”

“โรม” อัด รบ.ไทยเสียเหลี่ยมเมียนมา

เมื่อเวลา 15.00 น. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ในฐานะประธานคณะ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาฯ กล่าวภายหลังหารือผู้เกี่ยวข้องกับกรณีความมั่นคงระหว่างไทย-เมียนมาว่า การช่วยเหลือ 4 ลูกเรือชาวประมงไทย ไทยควรมีมาตรการประท้วงรัฐบาลเมียนมา มีแต้มต่อ มีไพ่ใช้ต่อรองได้ แต่กลับเสียเหลี่ยมทางการเมืองเรื่องนี้ ส่วนการรุกล้ำของว้าแดง ไม่ใช่แค่รุกล้ำอำนาจอธิปไตย แต่เป็นป่าต้นน้ำไหลสู่แม่น้ำปาย จ.แม่ฮ่องสอน ทราบว่าว้าแดงกำลังทำเหมืองที่อาจเกี่ยวข้องกับแม่น้ำสาย จ.เชียงราย อาจโยงถึงการใช้น้ำและไฟฟ้าผลิตยาเสพติดในอนาคตด้วย ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์หากหัวไม่ขยับ ส่วนอื่นเดินหน้าต่อไม่ได้ รัฐบาลโดยเฉพาะ นายกฯควรทำให้เกิดการบูรณาการ ยังไม่เห็นจุดนี้

กั๊กดึงปมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขย่มซักฟอก

เมื่อถามว่าประเด็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะมีในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า พยายามไม่พูดเยอะ แต่ทุกเรื่องอยู่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ทั้งสิ้น อยู่ที่พฤติกรรมของรัฐบาล หากไม่ยอมแก้ ไม่มีเจตจำนงจะแก้ สร้างความเสียหายจนนำไปสู่การที่สภาฯไม่ให้ความ ไว้วางใจฝ่ายบริหารและรัฐมนตรี นำไปอภิปรายได้ ไม่อยากสรุปตอนนี้ว่ามีเรื่องใด แต่กำลังจับตามองอยู่ เมื่อถามถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯประกาศเอาจริงปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนเกิดข้อครหานายทักษิณพูดอะไร รัฐบาลรับลูกหมด นายรังสิมันต์กล่าวว่า พยายามมองข้ามเรื่องนั้นไปก่อน เพื่อเอาวาระการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ ความเสียหายกว่าแสนล้านบาทของประเทศไทยที่เงินไหลออก มันรุนแรงเกินไปแล้ว อยากให้รัฐบาลเอาจริง อย่าให้เสียของ อุตส่าห์ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลขนาดนี้ ช่วยทำให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนบ้าง

ค้านจ่ายเงินแลกไม่เป็นทหารเกณฑ์

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวถึงแนวคิด พล.ท.ทวีพูล ริมสาคร ผบ.นรด. เสนอหากใครไม่ต้องการเป็นทหารเกณฑ์ ให้จ่ายเงินเข้ากองทุน เพื่อนำไปสนับสนุนพลทหารแทนว่า เป็นแนวคิดไม่ถูกต้อง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจ่ายเงินเพื่อไม่ต้องเกณฑ์ทหารมีมาตลอดในสังคมไทย ถือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าข่ายผิดกฎหมาย การจะนำพฤติกรรมทุจริตคอร์รัปชันแบบนี้ ขึ้นมาอยู่บนดินให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรแก้ไขปัญหาคนไม่อยากเป็นทหารด้วยการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นทหารแล้วจะไม่ถูกรังแกทำร้ายบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หากมีผู้บังคับบัญชาหรือใครที่กระทำความผิด ต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมาย ที่ผ่านมาคนทำผิดไม่เคยถูกลงโทษเลย

สภาฯชวนเด็กๆสัมผัสบรรยากาศ ปชต.

เมื่อเวลา 14.40 น. ที่รัฐสภา ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาฯ พร้อมคณะผู้บริหารสำนักงาน เลขาธิการสภาฯ ร่วมแถลงข่าวเชิญชวนเด็ก เยาวชนและผู้ปกครองมาร่วมงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 68 ในวันที่ 11 ม.ค. 08.30-15.00 น. ที่อาคารรัฐสภา โดยว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ กล่าวว่า สภาฯจัดงานวันเด็กปี 68 บนแนวคิดบนพื้นฐานของคำขวัญวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2568 จากประธานรัฐสภา “มีวินัย จิตอาสา พัฒนาประชาธิปไตย” ให้รัฐสภาที่เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของระบอบประชาธิปไตย เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆเห็นถึงความสำคัญของหลักการประชาธิปไตยไทยให้ก้าวหน้าต่อไป มีเวทีการแสดงและกิจกรรมหลากหลาย อาทิ กิจกรรมนิทรรศการวันรัฐธรรมนูญ กิจกรรมรัฐสภาบิงโก กิจกรรมสถานีรัฐสภาอวกาศในรูปแบบภาพยนตร์ 3 มิติ กิจกรรม SMART Kids กิจกรรมรู้เฟื่องเรื่องต่างประเทศและบูธนิทรรศการ และกิจกรรมเสริมความรู้ของสถาบันพระปกเกล้า ไฮไลต์จะเปิดให้ชมห้องประชุมสภาฯและเปิดให้เข้าชมเครื่องยอดและห้องโถงพิธี ให้ได้สัมผัสประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอย่างใกล้ชิด

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่