พรรคประชาชน ยกทัพปราศรัยใหญ่เลือกตั้ง อบจ.อุดรธานี คนแห่ฟังแน่น “เท้ง ณัฐพงษ์” ถาม “ทักษิณ” มีนโยบายอะไรเพื่อชาวอุดรฯ บ้าง เหน็บ คุกสักวันก็ไม่ติด สอนมวย “เต้น ณัฐวุฒิ” นโยบายดีๆ ไม่ต้องใช้เงินเยอะ ด้าน “พิธา” เย้ย เขตบ้านจันทร์ส่องหล้าก็ชนะมาแล้ว ซัดโดนยึดอำนาจแต่ก็ไปจับมือพรรครัฐประหาร
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ที่หนองประจักษ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี พรรคประชาชน เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ช่วยหาเสียงให้ นายคณิศร ขุริรัง เบอร์ 1 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.อุดรธานี ในนามสังกัดพรรค นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า, นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายณัฐพงษ์ พิพัฒน์ไชยศิริ สส.อุดรธานี เขต 1 พรรคประชาชน, นางสาวพนิดา มงคลสวัสดิ์ ส.ส.สมุทรปราการ เขต1 พรรคประชาชน, นายอภิชาติ ศิริสุนทร น.ส.พรรณิการ์ วานิช และนายอรรถพล บัวพัฒน์ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นอกจากนี้ยังมี น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน มาร่วมฟังปราศรัยด้วย โดยได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก
...
“เท้ง” โต้ “ทักษิณ” นโยบาย ปชน. เพื่อคนอุดรฯ จัดเต็มกว่าเยอะ
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ปราศรัยโดยขอบคุณ 3 บุคคลที่พาดพิงถึงตน โดยระบุว่าคนแรกที่ต้องขอบคุณคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่พรรคประชาชนทำอยู่นั้นไม่จำเป็น ที่ขอบคุณเพราะทำให้ประชาชนทั้งประเทศเห็นแล้วว่าพรรคประชาชนคือพรรคการเมืองเดียวในสภาฯ ที่เอาจริงกับการผลักดันเดินหน้านโยบายต่างๆ การแก้กฎหมายในสภา กฎหมาย 80 กว่าฉบับที่จะเดินหน้าต่อคือการทำงานแบบพรรคประชาชนที่ไม่ได้มีแต่ค้าน แต่มีเนื้องาน ความมุ่งมั่นตั้งใจ และความจริงใจต่อประชาชน
ส่วนที่นายทักษิณบอกว่าระหว่างทางเห็นป้ายหาเสียงของพรรคประชาชนที่มีทั้งภาพตนและนายพิธาคู่กับผู้สมัคร เป็นเพราะนายพิธาได้รับความนิยมมากกว่าหรือไม่ ต่างจากลูกสาวตัวเอง (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) ที่มีความนิยมมากกว่า อีกทั้งมาปราศรัยที่อุดรธานียังบอกว่าชาวอุดรธานีอย่าทำให้ตัวเองเสียหน้า แพ้ไม่ได้เพราะอุดรธานีเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง ราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของคะแนนเสียง สิ่งที่นายทักษิณพูดมานี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจผิด และความแตกต่างระหว่างนายทักษิณกับพรรคประชาชน
สำหรับพรรคประชาชนสิ่งที่สำคัญกว่าตนคือความยึดโยงในอุดมการณ์ โจทย์ที่เราเข้ามาทำการเมืองตั้งแต่วันแรกคือการสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่นายทักษิณแสดงออกต้องการอะไร ทำไมคิดว่าเวทีนี้แพ้ไม่ได้ เพราะต้องการให้ชนชั้นนำรู้ว่านายทักษิณยังมีประโยชน์ต่อคนเหล่านั้นเลยแพ้ไม่ได้ใช่หรือไม่ แค่โจทย์ตั้งต้นก็ต่างกันแล้ว สิ่งที่นายทักษิณกลับมาแบบผู้ยิ่งใหญ่ เท่ๆ คุกสักวันก็ไม่ติด มาอุดรธานีก็บอกว่าต้องการทวงคืนชัยชนะ แต่คำถามคือนโยบายต่างๆ เพื่อคนอุดรธานีคืออะไรบ้าง พรรคประชาชนจัดเต็มกว่าเยอะ สิ่งที่เราสื่อสารต่างกันก็เพราะโจทย์ที่เรามาลงเลือกตั้งนั้นต่างกัน
ขอบคุณ “เต้น” สอนมวยนโยบายดีๆ ไม่ต้องใช้เงินเยอะ
นายณัฐพงษ์ยังกล่าวต่อไปว่าตนยังต้องขอบคุณ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่ขึ้นปราศรัยว่าเลือกเบอร์ 1 ที่ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับรัฐบาลแล้วเดี๋ยวงบประมาณจะไม่พอ ตนขอทำความเข้าใจใหม่ว่าหลายนโยบายไม่ได้ใช้เงินเยอะ แต่ต้องใช้ความตั้งใจ ความใส่ใจ และความโปร่งใสในการใช้เงินภาษีของประชาชน ก็สามารถส่งมอบนโยบายดีๆ ได้
และการที่บอกว่าเลือกผู้สมัครจากพรรครัฐบาลแล้วเดี๋ยวจะมีงบประมาณมาช่วยในอุดรธานีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรงนี้ตนต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันว่า หลักการกระจายอำนาจระหว่างรัฐบาลระดับประเทศกับระดับท้องถิ่น ไม่ว่าสังกัดพรรคใดรัฐบาลมีวาระหน้าที่ต้องกระจายอำนาจ ไม่ใช่หาเสียงสัญญาแบบหนึ่งพอเข้าสู่อำนาจแล้วก็ไม่อยากกระจายอำนาจ พรรคประชาชนยืนยันหลักการกระจายอำนาจมาตลอดไม่ว่าส่งผู้สมัครลงสนามจังหวัดใด ถ้าเป็นรัฐบาลก็จะยืนยันวาระการกระจายอำนาจทุกจังหวัดอย่างเท่าเทียมไม่ว่ามาจากพรรคอะไร ที่พรรคประชาชนตั้งใจส่งผู้สมัครลงสนามท้องถิ่น ก็เพราะสุดท้ายเจตจำนงของเราคือการสร้างการเปลี่ยนแปลง
ท้า “ศราวุธ” เปิดตัวเลขเงินสะสมท้องถิ่น แต่ละปีใช้ไปยังไงบ้าง
นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวขอบคุณอดีตผู้บริหารนายก อบจ.อุดรธานี ที่บอกว่าหัวหน้าพรรคประชาชนอาจไม่รู้จริงบางอย่าง แต่ตนขอแย้งว่าข้อมูลที่ตนพูดนั้นอยู่บนหน้าเว็บไซต์ อบจ.อุดรธานี และข้อบัญญัติงบประมาณปี 2568 ของ อบจ.อุดรธานีเอง ตนรู้ดีว่าเป็นตัวเลขทางบัญชี แต่คำถามคือทำไมเราไม่เคยรู้ว่าตัวเลขเงินสดสะสมของท้องถิ่นในปัจจุบันเหลือเท่าไหร่ เพราะข้อมูลนี้ไม่เคยถูกเปิดเผยให้ประชาชนรู้ พรรคประชาชนจะเข้าไปทำให้การเกิดเผยงบประมาณทุกบาทให้มีความโปร่งใส ชาวอุดรธานีมีส่วนร่วมได้ ที่บอกว่าเงินสะสมอาจไม่เหลือแล้วนั้นมันเคยเหลือ แต่ที่ผ่านมามีใครทราบบ้างว่าในแต่ละปีมีการเอางบประมาณไปลงกับอะไรบ้าง
“งบประมาณ อบจ.อุดรธานี 1,200 ล้านบาทในแต่ละปีมีครึ่งหนึ่งที่ไม่ใช่รายจ่ายประจำ ถ้ามีนายก อบจ. ที่ใส่ใจอาสารับใช้ประชาชน นโยบายต่างๆ เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 365 วัน ที่ใช้งบประมาณไม่เยอะ เพิ่มขึ้นแค่แหล่งละ 9 แสนบาทต่อปี รพ.สต.ก้าวหน้า ที่ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล เครื่องละ 3 แสนบาท จัดให้มีคลินิกกายภาพและทันตกรรม ยกระดับได้ด้วยแห่งละ 2 ล้านบาท น้ำประปาสะอาดดื่มได้ ใช้งบหลักไม่กี่แสนบาทต่อแห่ง นี่คือคุณภาพชีวิตดีๆ ของประชาชนที่ถ้าตั้งใจและใส่ใจทำ ก็สามารถทำได้โดยใช้เงินไม่เยอะอย่างที่คิด แต่ที่ผ่านมาผู้บริหารท้องถิ่นเข้ามาสู่อำนาจ ต้องถามว่ามีโจทย์ที่จะทำอะไร”
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า โอกาสนี้ตนจึงขอส่งคำถามกลับไปยังผู้สมัครเบอร์ 2 ว่าคุณมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. คุณมีจุดประสงค์เพื่ออะไร นายคณิศร พรรคประชาชน มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง พัฒนาการเมืองท้องถิ่น ทำให้ อบจ. รับใช้ประชาชน มีความโปร่งใส เงินทุกบาทตกถึงชาวอุดรธานี ทุกอย่างเราทำได้ภายใน 4 ปี ขอให้ชาวอุดรธานีร่วมกันช่วยพิสูจน์พวกเราด้วย ว่าทุกคำสัญญาที่ให้ไว้จะส่งมอบให้เป็นจริงได้อย่างแน่นอน
“คณิศร” ถาม อบจ.คนเก่า 12 ปีที่แล้ว ทำอะไรอยู่
ต่อมา นายคณิศร ขุริรัง เบอร์ 1 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.อุดรธานี จากพรรคประชาชน ได้ขึ้นเวทีเน้นย้ำ 6 นโยบายเร่งด่วนที่จะทำทันทีภายในปีแรกหากได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายก อบจ. อุดรธานี ภายใต้นโยบาย 8 เสาหลัก ได้แก่ สาธารณสุข การศึกษา สวัสดิการ การพัฒนาเด็กเล็ก การบริหารของ อบจ. ที่โปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจ และการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้บริหารคนเดิมเป็นมาแล้ว 12 ปี นโยบายที่ตนว่ามา 12 ปีที่ผ่านมาทำไมนายก อบจ. คนเดิมจึงไม่ทำ มัวทำอะไรอยู่ ดังนั้น อีกสี่ปีต่อไป ถ้าพี่น้องชาวอุดรอยากเห็นอุดรธานีเปลี่ยนแปลง ขอให้ร่วมกันเป็นหัวคะแนนธรรมชาติ บอกต่อทุกคนว่าวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ กาเบอร์ 1 คณิศร ขุริรัง จากพรรคประชาชนให้ล้นกระดาน
“พิธา” เย้ย เขตบ้านจันทร์ส่องหล้าก็ชนะมาแล้ว
ต่อมา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ระบุว่าก่อนที่จะมีเวทีปราศรัยวันนี้ มีการพูดพาดพิงถึงตนจากนายทักษิณมาก ตนบินกลับมาเมืองไทยประกาศตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2567 นักเรียนปิดเทอมพอดี ใช้โอกาสที่เป็นวันหยุดขอบคุณพระเจ้านี้กลับมาที่เมืองไทย แต่นายทักษิณบอกว่าตนกลับมาเพราะกลัวแพ้ ถามว่ากลัวแพ้ได้อย่างไรเพราะแพ้มาตั้งเยอะแล้ว แต่ชนะมาก็แยะเหมือนกัน ทั้งอุดรธานีเขต 1 ทั้งที่บ้านเกิดทักษิณเอง หรือแม้แต่เขตบ้านจันทร์ส่องหล้าก็ชนะมา แต่ชนะได้ก็แพ้ได้ เขต 1 ปี 2562 เราก็แพ้มาก่อน แต่ก็กลับมาสู้ในปี 2566 จนได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชนะมาได้
แน่นอนตนเข้าใจดีว่าการเลือกตั้งระดับชาติกับแบบท้องถิ่นไม่เหมือนกัน อุดรธานีเป็นเมืองหลวงของประชาธิปไตยก็จริงแต่ก็เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการมาใช้สิทธิของประชาชนอยู่ในลำดับน้อยที่สุดในประเทศ แต่ตนก็เข้าใจหัวอกชาวอุดรธานีที่ไปทำงานอยู่ต่างประเทศ คนหนุ่มสาวจำนวนมากไม่สามารถกลับมาใช้สิทธิได้ เข้าใจว่าสู้กันอีกแบบหนึ่ง คราวนี้จึงมั่นใจแต่ไม่ประมาท ทุกคนที่นี่จึงต้องไปใช้สิทธิกันให้มากในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้
นายพิธากล่าวต่อไปว่า ที่นายทักษิณยังบอกอีกว่าทำไมพรรคนี้ต้องมีสองป้าย นายคณิศรคู่กับนายณัฐพงษ์บ้าง คู่กับตนบ้าง คำตอบมันง่ายแค่ว่าเราต่างมีอุดมการณ์เดียวกัน ตนในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลมาเป็นคนเปิดตัว นายณัฐพงษ์มาช่วยหาเสียง เพราะเป็นช่วงเดียวกับการยุบพรรคพอดีก็เท่านั้น ตนขอให้ชาวพรรคประชาชนช่วยกันอดทน ให้กำลังใจ และให้เวลากับนายณัฐพงษ์เหมือนที่ให้กำลังใจกับตน เขาคือเอไอทางการเมือง ที่ใช้เทคโนโลยีในการทำงาน วิเคราะห์งบประมาณ จนเปลี่ยนการทำงบประมาณในการเมืองไทยมาแล้ว
เหน็บ “ทักษิณ” โดนยึดอำนาจ 2 ครั้ง แต่ไปจับมือกับพรรคคณะรัฐประหาร
นายทักษิณยังบอกอีกว่าประชาชนยังไม่หายจนเพราะโดนยึดอำนาจไปสองครั้ง นายทักษิณพูดถูกแต่ที่ตนไม่เข้าใจคือทำไมไปจับมือกับพรรคที่มาจากคณะรัฐประหาร แบบนี้ไม่รู้จะเรียกว่าเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงได้หรือไม่ เสียดายที่ตอนอยู่ร่วมกัน ถ้าร่วมมือกันประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม แต่ทิ้งโอกาสนั้นแล้วยังบอกว่าอย่าไปแก้โครงสร้างอะไรมากนัก
นายพิธากล่าวต่อไปว่า ที่นายทักษิณบอกว่าอยากให้เกิดความเท่าเทียมทางโอกาส ตนขอเรียกร้องว่าให้มาวัดกันที่การเลือกตั้ง อบจ. นี้เลย พรรคประชาชนมีนโยบายชัดเจน ที่ต้องทำอย่างแรกคือสาธารณสุข ไม่มีใครเข้าใจดีเท่านายคณิศรที่มีลูกสาวเป็นหมอ งบประมาณ 1,200 ล้านบาทเป็นงบประมาณสาธารณสุขเพียง 35 ล้านบาท อุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีปัญหาทั้งจำนวนหมอต่อประชากร จำนวนเตียงต่อประชากร และจำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยโรคสำคัญ 5 โรค ล้วนเป็นปัญหาใหญ่ แต่งบประมาณมีแค่นี้ พรรคประชาชนคำนวณมาแล้วว่าต้องเพิ่มหมอต่อประชากรอีก 650 คน เพิ่มเตียงอีก 320 เตียง นี่คือความเท่าเทียมทางโอกาสหนึ่ง คือโอกาสในการเข้าถึงสาธารณสุขที่คนอุดรธานีไม่เคยเข้าถึง นายก อบจ. ต้องมีวิสัยทัศน์ เช่นด้านการท่องเที่ยว อบจ.อุดรธานีของนายคณิศรจะจัดให้มีรถเมล์ไฟฟ้า ชาวอุดรธานีจะได้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการท่องเที่ยว และจะตั้งกองพาณิชย์เพื่อดูแลพ่อค้าแม่ขายในอุดรธานี
สุดท้ายถ้าชาวอุดรธานียังตัดสินใจว่าจะเลือกใครดี ตนมี 3 เหตุผลว่าทำไมต้องเลือกหมายเลข 1 ประการแรก นายคณิศรเป็นคนขยัน เดินมาทุกอำเภอ มีประสบการณ์ทำงานการเมืองท้องถิ่นพร้อมทำงานได้เลย ประการต่อมานอกจากขยันแล้วยังมีทีมผู้สมัคร ส.อบจ. ที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่จะมาเปลี่ยนแปลงอุดรธานี และประการสุดท้ายนายคณิศรทำงานได้แบบไร้รอยต่อกับพรรคประชาชน ที่แม้ถูกยุบพรรคตัดสิทธิไปก็ยังเป็นพรรคอันดับหนึ่งอยู่ ตนจึงขอกำลังทุกคนช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไปเลือกตั้งกันเยอะๆ ทำลายคำสาปของอุดรธานี ใช้สิทธิกันให้ถล่มทลายแล้วไปเปลี่ยนแปลงอุดรธานีด้วยกัน
“พิธา” เขย่าฐานเสียงหนองหาน ลูกชายผู้นำเสื้อแดง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลา 17.00 น. ที่ผ่านมา นายพิธา และคณะ ได้ไปปราศรัยในพื้นที่อำเภอหนองหาน ซึ่งถือว่าเป็นฐานเสียงของนายกรวีร์ สาราคำ สส.เขต 5 อุดรธานี ลูกชายของนายขวัญชัย สาราคำ แกนนำคนเสื้อแดง โดยมีชาวบ้านมาร่วมฟังการปราศรัยของนายพิธาพร้อมทีมงาน ประมาณ 2,500 กว่าคน และใช้เวลาประมาณ 35 นาที เพื่ออ้อนคะแนนชาวหนองหานที่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ต่างประเทศมาใช้สิทธิ์ไม่ได้ก็ขอให้มาทางญาติเมืองไทยในจังหวัดอุดรธานี เลือกนายก อบจ.อุดรธานี เบอร์ 1 จะได้เปลี่ยนเมืองอุดรเสียที ซึ่งชาวบ้านก็ให้การต้อนรับนายพิธาอย่างอบอุ่น