“นายกฯ อิ๊งค์” มุ่งทำไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค ให้สิทธิประโยชน์จูงใจใช้ไทยเป็นโลเคชั่นถ่ายหนัง เชื่อ ช่วยดันซอฟต์พาวเวอร์ไทย เล็งคุยมหาวิทยาลัยมุ่งพัฒนาทักษะเทคโนโลยี มั่นใจ เยือนแอลเอครั้งนี้ดึงนักลงทุนได้แน่
เมื่อเวลา 11.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 15 ชั่วโมง) วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ นายเออร์วิง แทน (Mr. Irving Tan) รองประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติงานทั่วโลก และว่าที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO Designate) บริษัท Western Digital (WD) ผู้ผลิต Hard Disk Drive (HDD) รายใหญ่ระดับโลกของอเมริกา ที่โรงแรมเบเวอร์ลี วิลเชอร์ อะ โฟร์ซีซันส์ โดยมี นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะเข้าร่วมด้วย
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่าขอบคุณที่ บริษัท Western Digital ให้ความสนใจในการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะลดขั้นตอนต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการลงทุนจากต่างประเทศ เน้นการเติบโตที่ยั่งยืนทำให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด และรัฐบาลจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค ทางด้านนายเออร์วิง แทน กล่าวว่า ขอชื่นชมนายกฯ และนโยบายของรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และยืนยันว่าบริษัท WD มองประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ และคนไทยยังชื่นชอบในสินค้าของบริษัททำให้มั่นใจว่าในอนาคตจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมในหลากหลายมิติในประเทศไทยอีกด้วย และพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลและมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยในการยกระดับทักษะแรงงาน และการพัฒนาบุคลากร รวมถึงเยาวชนของไทย ให้มีความพร้อมต่อการก้าวไปสู่ตลาดงานสมัยใหม่ได้ในอนาคต
...
ทางด้าน นายเออร์วิง แทน รองประธานบริหารฯ WD กล่าวชื่นชมนายกฯ และนโยบายรัฐบาลไทย ที่ให้ความสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ยืนยันว่าบริษัท WD มองไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ และพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลและมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยในการยกระดับทักษะแรงงาน และการพัฒนาบุคลากร รวมถึงเยาวชนไทย ให้มีความพร้อมต่อการก้าวไปสู่ตลาดงานสมัยใหม่ได้ในอนาคต และบริษัท WD จะลงทุนในการเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) ที่กรุงเทพฯ ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและรองประธานบริหารฯ WD ต่างเห็นพ้องกันว่า เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นหนึ่งในเครื่องจักรขับเคลื่อนการเติบโตในเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรองประธานบริหารบริษัท WD เชื่อว่าการพัฒนาทักษะของทรัพยากรบุคคลจะเป็นสิ่งสำคัญต่ออนาคตของเศรษฐกิจ โดยนายกฯ ยังกล่าวยืนยันด้วยว่า รัฐบาลนี้จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค โดยดำเนินการภายใต้นโยบายที่ครอบคลุม เช่น นโยบาย Go Cloud First หรือนโยบายภาครัฐไร้การใช้กระดาษ เพื่อนำการใช้เทคโนโลยีบนระบบคลาวด์และการบริหารจัดการภาครัฐมาใช้บนแพลตฟอร์มดิจิทัล และนโยบายมุ่งเน้นพัฒนาพลังงานทางเลือก พลังงานสะอาด ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่หรือเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัท WD ต่างเห็นพ้องกันว่าไทยยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการลงทุน และคนไทยยังชื่นชอบในสินค้าของบริษัท ทำให้มั่นใจว่าในอนาคตจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมในหลากหลายมิติในไทยอีก
ในวันเดียวกัน นายกฯ เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงรับรอง เพื่อพบปะและสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับ นายชาร์ลส์ เอช. ริฟกิน ผู้บริหารบริษัทโมชั่น พิกเจอร์ (Motion Picture Association) หรือ MPA และบริษัทสร้างภาพยนตร์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา และบริษัทสร้างภาพยนตร์อื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท วอลต์ดิสนีย์, เอชบีโอ เอชบีโอแม็กซ์ และบริษัท วอร์เนอร์บราเธอส์, บริษัท อเมซอน และเอ็มจีเอ็ม สตูดิโอส์, บริษัท เอ็นบีซียูนิเวอร์แซล มีเดีย จำกัด, บริษัท เน็ตฟลิกซ์, บริษัท โซนี่พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนต์, บริษัท พาราเมาต์พิกเจอส์
นายกฯ กล่าวถึงการถ่ายทำภาพยนตร์ว่าเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่จะส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของไทย โดยไทยสามารถเรียนรู้จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมามีการถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 450 เรื่องจาก 40 ประเทศในไทย สร้างรายได้ประมาณ 190 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์สหรัฐฯ เป็นกลุ่มนักลงทุนอันดับหนึ่ง โดยมีภาพยนตร์ 34 เรื่องที่ถ่ายทำในไทย พร้อมย้ำว่ารัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย พร้อมทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย อาทิ เพิ่มสิทธิประโยชน์ในรูปแบบของการคืนเงินสูงสุดที่อัตราร้อยละ 30 และไม่กำหนดเพดานคืนเงินสูงสุดต่อโครงการด้วย
ขณะที่ นายชาร์ลส์ เอช. ริฟกิน ชื่นชมนโยบายไทยในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ยิ่งเพิ่มแรงจูงใจให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในระดับสากล ทำให้ไทยเป็นตัวเลือกของสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่มีความโดดเด่นในภูมิภาคได้มากขึ้น และจะช่วยรับประกันการลงทุนในอนาคตที่มากขึ้น อีกทั้งรู้สึกตื่นเต้นมากหากจะได้ร่วมงานกับไทยมากขึ้น โดยบริษัทได้เข้ามาลงทุนในการสร้างภาพยนตร์ในไทย มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นโดยเฉลี่ยประมาณ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และช่วยเสริมสร้างทักษะของบุคคลและสร้างงานในท้องถิ่น เชื่อว่าการหารือเพิ่มเติมระหว่างนายกฯ กับทั้ง 7 บริษัทที่มาในวันนี้ จะสามารถให้การสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ในช่วงท้าย นายกฯ ได้ถ่ายภาพร่วมกับคณะนักดนตรีไทยที่มาโชว์การแสดง และได้ทดลองตีขิม พร้อมระบุว่า เคยเล่นในสมัยเรียน ตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ ซึ่งได้รับเสียงปรบมือจากผู้เข้าร่วมงาน
ต่อมา น.ส.แพทองธาร เปิดเผยถึงการหารือกับภาคเอกชนในนครลอสแอนเจลิส ว่า ได้หารือกับบริษัท WD ซึ่งมีโรงงานอยู่ที่ไทยแล้ว 2 แห่ง คือที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.ปราจีนบุรี ขณะนี้เขาผลักดันเรื่องพลังงานสะอาด ตั้งเป้าในปี 2030 จะใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นจาก 50% กลายเป็น 100% เขาจึงขอความร่วมมือรัฐบาลไทยและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้สนับสนุนในเรื่องนี้ เชื่อว่าจะเกิดโอกาสการจ้างงานกับคนไทยแน่นอน แต่เราต้องส่งเสริมเรื่องภาษาและทักษะ เพื่อให้เข้าไปทำงานปรับตัวได้ง่ายขึ้น ฉะนั้น ต้องพูดคุยกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้เรามีศักยภาพที่เพียงพอ เราอยากให้คนไทยมีทักษะการทำงานเกี่ยวกับสาขาเทคโนโลยีเอไอ และการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น จากนี้จะประสานให้ความรู้และทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ ของประเทศไทย เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) ร่วมกัน เพื่อสร้างงานและสร้างอาชีพให้กับคนไทย
สำหรับการพูดคุยกับกลุ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ บริษัทต่างๆ ตื่นเต้นมากเรื่องสิทธิประโยชน์รับเงินคืนที่เราเสนอไป บอกว่าจะกลับไปบอกคนในธุรกิจของเขาว่าไทยมีนโยบายนี้และผ่านแล้ว เพื่อทุกคนจะได้มาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ฟังแล้วก็น่าดีใจ เชื่อว่าเรื่องนี้ก็จะเพิ่มโอกาสให้กับคนไทย เพราะจะเกิดการจ้างงานมากขึ้น รัฐบาลพยายามจะสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ เรื่องของภาพยนตร์ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเขียนบท การถ่ายทำ และทุกอย่างที่เกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งหมด เพื่อให้ทำงานเป็นระบบมากยิ่งขึ้น จะพยายามร่วมมือกันให้คนไทยมีความรู้และมีอาชีพ ให้สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีการพูดคุยกันถึงมาตรการลดขั้นตอนทางกฎหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกและเป็นแรงจูงใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งการเดินทางมาเยือนลอสแอนเจลิสครั้งนี้ รัฐบาลขับเคลื่อนไปหลายอย่าง อาทิ การดึงดูดการลงทุน และยกระดับการพัฒนาศักยภาพของคนไทย ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกว่าการมาตอกย้ำในเรื่องการลงทุนด้วยตัวเอง ทำให้ภาคเอกชนมั่นใจว่าเรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังเสร็จสิ้นภารกิจที่นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา จากนั้นวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) น.ส.แพทองธาร และคณะ จะเดินทางต่อไปยังกรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ระหว่างวันที่ 14-17 พฤศจิกายน 2567 ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567