ขยับไปตรงไหนก็มีปัญหาตรงนั้น รัฐบาลชุดนี้มีสภาพ อย่างที่เห็นลักษณะนี้นั่นคงเป็นเพราะความไม่ไว้วางใจ ไม่เชื่อใจเป็นเหตุ

ล่าสุดก็เกิดปัญหาที่การบินไทยขึ้นมาอีก เมื่อสหภาพแรงงานเคลื่อนไหวต่อต้านการที่กระทรวงการคลังขอเพิ่มผู้บริหารแผนฟื้นฟู

หลังจากที่เกิดปัญหาภาวะขาดทุนจนต้องเข้าสู่แผนฟื้นฟูเพื่อแก้ปัญหาจนกลับเข้าสู่ภาวะที่ดีขึ้นและมีผลกำไรตามมา

พูดง่ายๆว่าชุบชีวิตใหม่จนคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

เนื่องจากกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงขอใช้สิทธินี้แต่พนักงานไม่ต้องการเพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาอีก

ประเด็นก็คือกลัวนักการเมืองเข้ามาทำให้ฉิบหายอีก

นั่นเป็นประเด็นใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น!

แต่ประเด็นเก่าที่ยังไม่จบก็คือการตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งเลื่อนมา 2 ครั้งแล้ว เนื่องจากคณะกรรมการคัดเลือกไม่กล้าตัดสินใจอ้างว่าต้องพิจารณาให้รอบคอบ

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือกระทรวงการคลังเสนอชื่อ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ให้พิจารณา แต่เกิดแรงต่อต้านและคัดค้านทั้งในแบงก์ชาติและนอกแบงก์ชาติ โดยเฉพาะบรรดานักเศรษฐศาสตร์และอดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ

ที่ไม่ต้องการให้ “นักการเมือง” เข้ามาดำรงตำแหน่งนี้

เพราะต้องการให้แบงก์ชาติเป็นอิสระที่ปฏิบัติเช่นนี้มาตลอดจนกลายเป็นกฎกติกาไปโดยปริยาย แม้ระเบียบปฏิบัติจะมี “ภูมิคุ้มกัน” อยู่แล้วก็ตาม

แต่ไม่ไว้ใจนักการเมือง เกรงจะเข้ามา “ล้วงลูก” ทำให้สถาบันแห่งนี้เกิดความเสียหาย

แม้ว่า “กิตติรัตน์” จะมีความรู้ความสามารถได้รับการยอมรับแต่เขาเป็นนักการเมืองใต้ชายคา “เพื่อไทย” ที่ปฏิเสธไม่ได้

ล่าสุดก็พ้นผิดจากคดีจำนำข้าว เมื่ออัยการไม่ยื่นอุทธรณ์ทำให้คดีต้องยุติลงโดยปริยายทำให้เขาไม่มีมลทิน

...

จึงมีการนำประเด็นนี้มาเพิ่มน้ำหนักในเรื่องคุณสมบัติ

แต่ความเป็นนักการเมืองของเขาก็ยังคงดำรงอยู่...

ดังนั้นจึงมิอาจแยกส่วนกันได้แน่นอน กลุ่มที่คัดค้านก็คงยืนคำเหมือนเดิม ซึ่งมิใช่แค่กลุ่มที่ค้านดังที่กล่าวมาแล้วเท่านั้น

แต่ยังมีกลุ่มการเมืองที่เคยมาชุมนุมคัดค้านที่แบงก์ชาติมาแล้ว

ฉะนั้นคณะกรรมการคัดเลือกต้องคิดให้ดีและรอบคอบเพื่อมิให้เกิดปัญหาก่อนหน้านี้ มีข่าวว่ากระทรวงการคลังจะเปลี่ยนตัวแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คือยังยืนยันชื่อ “กิตติรัตน์” เหมือนเดิม!

ทั้งหลายทั้งปวงจึงขึ้นอยู่กับคณะกรรมการคัดเลือกที่จะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใครในจำนวน 3 ชื่อ ที่ถูกเสนอให้พิจารณา

คือ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง”-“กุลิศ สมบัติศิริ”-“สุรพลนิติไกรพจน์”

เพราะมีหน้าที่ที่จะต้องตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลที่จะตามมาด้วยเพราะหากเกรงใจนักการเมืองที่อยู่ข้างหลัง

จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ตามมาแน่

หรือจะทิ้งเรื่องเอาไว้ก่อน เพราะยังมีเวลาก็สามารถทำได้แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา ทำแบบนี้ก็ลาออกไปเลยดีกว่า

เพื่อให้คณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนเพราะยิ่งช้าออกไปก็ยิ่งวุ่นวายไม่จบ

แต่วันนี้มีอำนาจและทำให้ทุกอย่างจบและคลี่คลายไปในทางที่ดีก็ควรเลือกไปเลยว่าจะเอาใครที่ทำงานได้และไม่มีปัญหาตามมา

ทุกอย่างมันอยู่ตรงนี้แหละ!

สายล่อฟ้า

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม