เกิดวาทกรรมในสังคมไทยกับคำว่า “คลั่งชาติ-รักชาติ” อันเนื่องมาจากพื้นที่เขตติดต่อระหว่างไทย–กัมพูชาว่าด้วยผลประโยชน์อันมหาศาลใต้ทะเล

ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งมีทรัพยากรทั้งก๊าซ-น้ำมัน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศต่างก็ต้องการที่จะนำขึ้นมาใช้

เพราะต่างก็มีความจำเป็นที่จะใช้ทรัพยากรเหล่านี้ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลโดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งต้องใช้น้ำมัน-ก๊าซและไฟฟ้าซึ่งมีราคาแพง

อีกทั้งโลกได้เปลี่ยนไปจากเดิมกำลังหันมาใช้ทรัพยากรสะอาด-สีเขียว อนาคตต่อไปราคาน้ำมัน-ก๊าซก็จะถูกลง

หากไม่รีบนำขึ้นมาใช้

ไทย-กัมพูชาอยู่ในภาวะที่ไม่ต่างกัน และต้องการนำทรัพยากรเหล่านี้มาใช้

พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของไทยนั้นมีหลายพื้นที่ไม่ใช่แค่กัมพูชาเท่านั้น เขตพื้นที่ระหว่างไทย-เวียดนามก็มี ไทยกับมาเลเซียก็มี

แต่สามารถตกลงกันและนำทรัพยากรมาใช้ด้วยการแบ่งคนละครึ่งมานานแล้ว

ที่มีปัญหาก็คือไทย–กัมพูชา...นี่แหละ

เนื่องจากสมัยที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ไทย-กัมพูชาได้ทำข้อตกลงเอ็มโอยู หากจะเจรจาพื้นที่ทับซ้อนจะใช้เอ็มโอยู 44 เป็นพื้นฐานการเจรจา

นี่แหละที่ทำให้เกิดปัญหาเพราะ...

เกิดความเห็นที่ต่างกันระหว่าง 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายรัฐบาลปีปัจจุบัน (เพื่อไทย) ที่ยืนยันชัดเจนว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับการที่ไทยจะเสีย “เกาะกูด” ให้กัมพูชาแต่อย่างใด

แต่อีกฝ่ายบอกว่าไทยจะเสีย “เกาะกูด” แน่หากมีเจรจาเรื่องนี้

ต่างฝ่ายต่างก็งัดเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตัวเอง

ประเด็นก็คือไม่มีฝ่ายไหนที่จะยืนยันได้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ทั้งๆที่เรื่องนี้ฝ่ายรัฐบาลน่าจะตอบและให้ข้อมูลที่ถูกต้องได้เพราะเป็นฝ่ายทำสัญญา

...

แต่ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน อธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อ

นั่นเพราะภาพความสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณ-ฮุน เซน” ที่มีความแนบแน่นจนเกิดความรู้สึกต่างฝ่ายต่างตกลงที่จะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

“กัมพูชา” เอาเกาะกูดไป

“ทักษิณ” เอาส่วนต่างจากทรัพยากรใต้ทะเลไป

ยิ่งตอนที่ “ทักษิณ” กลับมาถึงเมืองไทย “ฮุน เซน” แขกชาวต่างประเทศคนแรกได้บินมาเยี่ยมถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า จากนั้น “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ยังเดินทางไปเยือนกัมพูชาตามคำเชื้อเชิญ

มันจึงเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจถึงความสัมพันธ์บนผลประโยชน์

แน่นอนว่าหากยังไม่มีการเจรจาปัญหาก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เกาะกูดยังเป็นของไทย 100%

แต่ถ้าเริ่มเจรจาจะเป็นอะไรก็ไม่มีใครทราบได้!

รัฐบาลปัจจุบันนั้นต้องการเจรจาเพื่อนำทรัพยากรมาใช้ประโยชน์ เนื่องจากปัญหาพลังงานราคาแพง

แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะไม่สามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนทำให้คนเชื่อได้

จะเลิกสัญญาเอ็มโอยู 44 ก็เกิดปัญหากับกัมพูชา

ทำไปทำมาก็ตกอยู่ในภาวะชะงักงันอย่างนี้

แน่นอนว่าสถานการณ์อย่างนี้รัฐบาลย่อมได้รับความเสียหาย เพราะถูกโจมตีว่า “ขายชาติขายแผ่นดิน”

อีกด้านก็ไม่สามารถนำทรัพยากรขึ้นมาใช้ได้

นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลกำลังประสบมรสุมจากการถูกโจมตี และรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจากปัญหาเดิมที่หนักอยู่แล้ว

ถ้าไม่เลิกเอ็มโอยู 44 ก็ต้องให้คำตอบที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือได้!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม