“ชาญชัย” แจงไทม์ไลน์ 2 คำร้องคดี “ทักษิณ” ชั้น 14 ชี้ ม.246 ป.วิ.อาญา อยู่ในอำนาจศาล จ่อร้องยก 3 ป.ป.ช. ย้ำยึดรัฐธรรมนูญ ม.63 หวังชี้ปมกัดเซาะบ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรม

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 23 ตุลาคม 2567 นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า ตนเตรียมร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์นำตัว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากเรือนจำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้ร้องขออนุญาตต่อศาลก่อน และการไปรักษาตัวที่นี่ไม่ถือว่าเป็นการถูกจำคุก ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะขอพักโทษ หรือทุเลาโทษโดยกรมราชทัณฑ์ต้องบังคับการลงโทษตามคำพิพากษาศาลนั้น

นายชาญชัย ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในกรณีนี้ว่า ที่ผ่านมาตนเคยยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 โดยตนและ นายนิติธร ล้ำเหลือ ร่วมกันยื่นร้องต่อศาลในประเด็นว่า นายทักษิณ ได้รับโทษจำคุก และได้ขอพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษเหลือ 1 ปี แต่เหตุใดจึงไม่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาลแม้แต่วันเดียว โดยมีรายละเอียดข้อเท็จจริง พฤติกรรมการกระทำของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมาย ป.วิ.อาญา และคำสั่งของศาลหรือไม่ โดยศาลได้วินิจฉัยตอบในวันนั้นว่า ศาลออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาล จึงไม่ต้องไต่สวนให้ยกคำร้อง

...

“เท่ากับศาลได้ชี้ประเด็นกลับมาให้ดูว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทำผิดกฎหมายเรื่องใด มีพฤติกรรมเช่นใด เพราะคำร้องนี้ร้องเกี่ยวกับพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ถ้าเป็นความผิดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ต้องไปร้องต่อศาลอื่น ศาลฎีกานักการเมืองไม่มีอำนาจวินิจฉัย”

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นายชาญชัย เผยอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลครั้งที่ 2 ตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ว่าด้วยหมวด 9 การบังคับคดีข้อ 61 และ 62 ว่า มีกฎหมายมาตรา 246 และบทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมถึงมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ที่ระบุ มิให้ออกกฎกระทรวง หรือมาตรการบังคับโทษด้วยวิธีการอื่น ที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กรณีกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติต่อ นายทักษิณ เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ การที่ นายทักษิณ ออกมานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ถือเป็นการทุเลาโทษ และชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ศาลจึงมีคำวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีไม่ปรากฏ มีการทุเลาการบังคับโทษ จึงไม่ต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 และมาตราอื่นที่ผู้ร้องอ้างมา จึงไม่ต้องไต่สวนให้ยกคำร้อง”

ขณะเดียวกัน นายชาญชัย ระบุด้วยว่า การที่ศาลวินิจฉัยเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่ามาตรา 246 อยู่ในอำนาจของศาลที่สามารถวินิจฉัยได้ แต่ไม่มีการยื่นคำร้องขอทุเลาโทษจากเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้อง เสมือนศาลต้องการให้ตนไปเขียนคำฟ้องใหม่ โดยต้องรวบรวมพยานหลักฐานและตัวผู้กระทำความผิดให้ครบถ้วน จึงสามารถยื่นคำร้องใหม่เป็นครั้งที่ 3 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองได้ ซึ่งขณะนี้ตนสามารถรวบรวมพยาน หลักฐาน พฤติการณ์การกระทำความผิดได้ 50% แล้ว หรืออาจจะยื่นเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้รับไปดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จ

“ผมและคณะได้ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่ต้องการรักษาความยุติธรรมและความถูกต้องตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญโดยการชี้เป้าให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับทราบพฤติการณ์และข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ถึงปัญหากระบวนการยุติธรรมที่ถูกกัดเซาะบ่อนทำลาย ว่า เหตุใดเมื่อทรงพระราชทานอภัยโทษ โดยลดโทษให้เหลือ 1 ปี แล้วทำไมหน่วยงานราชการของรัฐจึงไม่ปฏิบัติตาม”

ทั้งนี้ ตนขอแจ้งสิทธิของพลเมืองต่อพี่น้องประชาชนผู้ที่ต้องการรักษาผดุงความยุติธรรม ว่า ตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 หมวด 9 เกี่ยวกับการบังคับคดี ข้อที่ 62 ระบุไว้ว่า เมื่อบุคคลภายนอกยื่นคำร้องหรือคำขอต่อศาลในชั้นบังคับคดี ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกาอย่างน้อย 3 คนเป็นองค์คณะพิจารณาชี้ขาดคำร้องหรือคำขอดังกล่าว หรือพูดตามภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาได้ตามกฎหมายนี้.