ไม่รู้ว่ากลิ่นโชยเข้าจมูกหรือวิเคราะห์คาดการณ์กัน บรรดาพรรคการเมืองเล็กๆ ระดับเอสเอ็มอีได้นัดหารือเพื่อเตรียมการทางการเมือง
“ยุบสภา” คือหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน
แม้จะเป็นข่าวเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจแต่จะเป็นข่าวใหญ่ทางการเมืองอีกไม่นานนี้แน่ ดังนั้นพรรคการเมืองเล็กๆ จึงต้องอ่านเกมให้ออกและแม่นยำ
เพราะมันหมายถึงอนาคตทางการเมืองข้างหน้า
หลังจากที่ กกต.ประกาศว่า คำร้องที่ระบุว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ครอบงำพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล 6 พรรค
“มีมูล” และได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว
เป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่สำหรับ “ทักษิณ”-“เพื่อไทย” และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่มุดเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าเพื่อหารือตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่
จากนั้นให้คิดต่อไปว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องที่ผู้ร้องยื่นให้ยุบ “เพื่อไทย” และเอาผิด “ทักษิณ” ในข้อหาล้มล้างการปกครอง
ว่ากันว่าศาลน่าจะรับคำร้องเพราะขนาด กกต.ที่สอบเบื้องต้นยังพบว่าคดีมีมูล ซึ่งข้อหาก็ไม่ต่างกันคือการครอบงำพรรคการเมือง
เรียกว่าไม่มีทางดิ้นไปเป็นอย่างอื่นได้
หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องบวกกับการที่ กกต.ต้องยื่นคำร้อง หากสอบสวนแล้วพบว่ามีความผิดจริง
เท่ากับปิดหัวปิดท้ายเติมเต็มทุกช่อง
ด้วยสถานการณ์ที่ปรากฏคงทำให้พรรคเล็กๆ มองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แน่
และไม่ใช่เกี่ยวพันแค่ “ทักษิณ-นายกรัฐมนตรี-เพื่อไทย” เท่านั้น
แต่ยังกินรวมไปถึง 6 พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล
พูดง่ายๆ ว่าเดือดร้อนไปทั้งพวง!
ดังนั้นการตัดสินใจต่างๆจึงต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วทันสถานการณ์ ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด เพราะกรณีอดีตนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ถูกสอยมาแล้ว
...
ว่ากันตามจริงสถานการณ์ของรัฐบาลปัจจุบันแม้เสถียรภาพจะมั่นคงเพราะมีเสียงสนับสนุนท่วมท้นก็จริง
แต่ก็เกิดปัญหาขัดแย้งหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายนิรโทษกรรม กฎหมายว่าเรื่องระบบร่าง นโยบายกาสิโน
ที่ความเห็นไม่ตรงกัน...
แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งจนแตกหักไปข้าง
ต้อง “ซื้อเวลา” ให้สถานการณ์คลี่คลายด้วยตัวของมันเอง
ประเด็นใหญ่ก็คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มองกันว่าไม่น่าจะต่างกับกรณีของอดีตนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา” ดังนั้นจึงต้องตัดสินใจก่อนที่จะถึงวันนั้นคือ “ยุบสภา” เพื่อจบคดีและเลือกตั้งกันใหม่
แม้พรรคประชาชนจะเป็นหอกข้างแคร่รออยู่
แต่สถานการณ์ปัจจุบันที่ผลัดใบจาก “ก้าวไกล” มาเป็น “ประชาชน” ก็ดูจะอ่อนล้าลง อีกทั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ “เท้งทั่วไทย” ก็มิได้ฉายแววให้โดดเด่นเท่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”
ดังนั้นเพื่ออนาคตข้างหน้าของ “แพทองธาร ชินวัตร” จึงต้องรักษา “ขุน” ยอมเสียโคนดีกว่าไปสู้กันในสนามเลือกตั้ง
แม้จะเสี่ยงหน่อยแต่ก็ยังมีลุ้น
ดีกว่าจะต้องถูกตัดสินทางการเมืองปิดประตูบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ถือว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญซึ่ง “ทักษิณ” จะต้องตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม