สมกับที่เป็น “ยุคเทวดาธิปไตย” อีกแค่สองวันอายุความของคดีตากใบ คดีฆาตกรรมผสมการเมืองอันลือลั่น ก็จะสิ้นสุดลง โดยไม่ได้จำเลยมาดำเนินคดีที่ศาลจังหวัดนราธิวาสแม้แต่คนเดียว จากจำเลยทั้งหมด 7 คน มีเพียงคนเดียวที่เป็นข่าว นั่นก็คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ที่ลาออกจาก สส.พรรคเพื่อไทย นัยว่าล่องหนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จำเลยคนอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นอดีตข้าราชการระดับสูง มีทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร ล้วนแต่อยู่ในภาวะล่องหนโดยถ้วนหน้า นักนิติศาสตร์บางคนเสนอแนะรัฐบาลให้ออกพระราชกำหนด เพื่อขยายอายุความออกไป ก่อนที่จะขาดอายุในวันที่ 25 ตุลาคม แต่เชื่อว่ารัฐบาลคงจะไม่ทำ รัฐบาลจะเอาตัวรอดหรือไม่
รัฐบาลอาจทำตัวเป็นเทวดานั่งดูความคืบหน้าของคดีอยู่เฉยๆ ถ้ารัฐบาลยังถือคติเดิมๆที่ว่า “กฎหมายก็อยู่ในมือเรา” ผู้ดำเนินคดีก็คนของเรา แต่ในภาวะการเมือง วันนี้อาจไว้วางใจใครไม่ได้ พรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลอาจโดนข้อหายอดนิยม นั่นก็คือการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ “ลัทธิ” ของแต่ละฝ่าย
บางฝ่ายอาจยึดถือลัทธิ “นิติธรรม” ยึดถือกฎหมายเป็นหลัก ยึดหลักที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่ว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน แต่คนบางส่วนอาจถือลัทธิหรือระบบอุปถัมภ์ เพื่อนพ้องน้องพี่ เป็นเทวดา เป็นอภิสิทธิ์ชน อยู่เหนือกฎหมาย สถิตอยู่ในเทวโลก
คดีตากใบเป็นคดีฆาตกรรมการเมือง ที่มีประชาชนเสียชีวิตถึง 85 คน เป็นเหตุสืบเนื่องมาจากการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อเดือนตุลาคม 2547 ภายใต้รัฐบาลพรรคไทยรักไทย มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เชื่อว่าความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นฝีมือของ “โจรกระจอก”
...
รัฐบาลจึงสั่งยุบ “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศอ.บต.) ที่ประกอบด้วยฝ่ายพลเรือน ตำรวจ และทหาร ที่สามารถควบคุมไฟใต้ได้ระดับหนึ่ง และทุ่มกำลังตำรวจเข้าปราบปราม ก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง เช่นที่ตากใบ กรือเซะ (ปัตตานี) 32 ศพ และประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างกว้างขวางในการป้องกันและปราบปราม เจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมคุมขัง โดยไม่ต้องรับผิดใดๆ ถ้าเกิดความเสียหายต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน แต่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนอกจากดับไฟใต้ไม่ได้แล้วยังโหมกระพือ รัฐบาล คสช.จึงนำมาใช้ในการสลายการชุมนุมที่ กทม.
คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม