สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ผนึกกำลังภาคประชาชน เสนอปฏิรูป “กฎหมายเครดิตบูโร” สร้างโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน ลดการพึ่งพา “เงินกู้นอกระบบ” ย้ำ ปฏิรูประบบสินเชื่อทั้งระบบ ยึดหลักห้ามใช้จ่ายเกินตัวต้องมีจริยธรรมในการชำระเงินกู้

วันที่ 10 ตุลาคม 2567 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ ร่วมกับ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้ริเริ่มเสนอกฎหมายเครดิตบูโรภาคประชาชน พร้อมด้วยนายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะสส.แบบบัญชีรายชื่อ และนายพันธ์ศักดิ์ บุญแทน สส.สุราษฎร์ธานี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมแถลงข่าวถึงกรณีพรรครวมไทยสร้างชาติยื่น “ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ...) พ.ศ. …” หรือ “กฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโร”

นายอนุชา บูรพชัยศรี เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นถึงความสำคัญของการปฏิรูประบบข้อมูลเครดิตบูโรมาโดยตลอด เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากการเก็บข้อมูลเครดิตบูโรไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ซึ่งจำนวนประมาณ 50% เกิดจากความยากลำบากในการดำเนินชีวิตการประกอบธุรกิจในช่วงสถานการณ์โควิด การปฏิรูปการจัดเก็บข้อมูลเครดิตบูโรในครั้งนี้ เป็นการให้โอกาสในการพลิกฟื้นวิถีชีวิต และการประกอบธุรกิจของประชาชน จากเดิมหากมีประวัติที่ไม่ดีถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของเครดิตบูโร ประชาชนจำนวนมากสูญเสียความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ มีความจำเป็นต้องไปใช้บริการสินเชื่อนอกระบบ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เงินกู้นอกระบบ เงินกู้นอกระบบนี้เองที่สร้างปัญหาแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด การทวงหนี้ที่โหดร้าย

นายอนุชา กล่าวต่ออีกว่า นอกจากการแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโรในครั้งนี้แล้ว ตนและพรรครวมไทยสร้างชาติมีความเห็นว่าจะต้องมีการดำเนินการด้านอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ดังนี้

...

1.ต้องมีการปรับปรุงแนวคิดของการอนุมัติสินเชื่อของประเทศไทย รวมถึงแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะในรายย่อย

2.หลักการเกี่ยวกับสินเชื่อต้องใช้มาตรฐานสากลเพื่อให้เหมาะสมกับทุก ๆ บริบท

3.แม้จะมีการแก้ไขกฎหมายเครดิตบูโรในครั้งนี้แล้ว แต่จะต้องไม่ไปสร้างความเชื่อที่ผิดโดยเฉพาะในเรื่องความจำเป็นในการมีวินัยทางการเงิน การกู้ หรือขอสินเชื่อจะต้องไม่มี

วัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายเกินตัว และต้องป้องกันไม่ให้เกิด Moral hazard ทางการเงินโดยเฉพาะเรื่องการกู้เงินและการชำระหนี้ ถ้าดำเนินการตามสิ่งต่างๆเหล่านี้แล้ว ตนมั่นใจว่าจะทำให้เกิดผลดีกับระบบสินเชื่อในภาพรวม และก็เป็นผลดีกับทั้งลูกหนี้ และสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากคาดว่าร่างกฎหมายเครดิตบูโรฉบับนี้จะเข้าข่ายที่เป็นกฎหมายการเงิน ดังนั้นจึงต้องผ่านการรับรองจากนายกรัฐมนตรี จึงมีขั้นตอนที่อาจจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามตนในฐานะ สส. พรรคร่วมรัฐบาล และกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร หรือ วิปรัฐบาล จะติดตามความคืบหน้าของกฎหมายฉบับนี้อย่างใกล้ชิด

ด้าน นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับประชาชนและร่างฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติมีเนื้อหาตรงกัน โดยมีสาระสำคัญคือ ลูกหนี้จ่ายหนี้ครบปิดบัญชี หรือ ผ่อน 6 เดือนติดต่อกันลบประวัติทันที และเปลี่ยนการแสดงผลเป็นคะแนนเครดิต (Credit Scoring) แทนการแสดงประวัติทั้งหมด รวมถึงฟรีค่าธรรมเนียมในการเช็กคะแนนเครดิตของตนเองด้วย โดยกฎหมายเครดิตบูโรฉบับประชาชนที่ผมร่างขึ้นได้รับการสนับสนุนจากองค์กรของผู้บริโภคโดยปัจจุบันมีประชาชนร่วมลงชื่อเสนอกฎหมาย ราว 6 พันคน มาวันนี้ได้แรงหนุนจาก ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติด้วย ทำให้กฎหมายเข้าสู่สภาได้เร็วขึ้นมาก กฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโรฉบับนี้จะเปลี่ยนโฉมการประเมินการให้สินเชื่อใหม่ ช่วยให้ประชาชนฟื้นตัวได้เร็วไม่ถูกแช่แข็ง สร้างการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร และทำให้ธนาคารมีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้นในการประเมินสินเชื่ออีกด้วย