“ชวน หลีกภัย” ร่วมอภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาล ยอมรับ วันนี้พูดในฐานะรัฐบาล ย้ำ ต้องคิดถึงประโยชน์ประเทศและประชาชน พร้อมหยิบยกปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องเร่งแก้ไข
เมื่อเวลา 13.55 น. วันที่ 13 กันยายน 2567 การประชุมร่วมกันของรัฐสภายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นายชวน หลีกภัย สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ร่วมอภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาล ว่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 ได้เคยอภิปรายนโยบายรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เคยพูดเรื่องภาคใต้ในฐานะฝ่ายค้าน วันนี้พูดในฐานะรัฐบาล แต่ไม่ว่าตนจะอยู่ในพรรคไหนก็ตาม ความจริงก็คือความจริง ความจริงไม่อาจจะเปลี่ยนไปตามฐานะ จะเป็นอะไรก็ต้องเป็นความจริง
ดังนั้น ข้อมูลที่จะพูดถึงกรณีปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอย้ำว่าในครั้งนั้นตนต้องการให้รัฐบาลบรรจุปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ติดขัดที่ขณะนั้นนโยบาย 14 หน้าของรัฐบาลไม่มีเรื่องนี้เลย แต่ครั้งนี้รัฐบาลได้บรรจุไว้แล้วในหน้า 12 แม้จะเป็น 1 บรรทัด ก็เป็นเรื่องแสดงให้เห็นว่าเรายอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และจะได้มีโอกาสติดตามการทำงานต่อไป
นายชวน กล่าวต่อไปว่า เหตุที่หยิบยกปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถือหลักว่าชีวิตมีค่ามากกว่าเงิน เราจะผิดพลาดนโยบายเศรษฐกิจ ขาดทุนไปกี่หมื่นกี่แสนล้าน ไม่เท่ากับชีวิต 7,500 กว่าคน ที่เสียไปจากความผิดพลาดนโยบายด้านความมั่นคง เมื่อเรายอมรับว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายส่วนหนึ่งแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติต่อไปให้สำเร็จ พร้อมย้ำว่าความสำเร็จที่เราจะแก้ปัญหาได้ คือต้องยอมรับความจริงว่าเหตุทั้งหมดเกิดจากอะไร เช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2544 โชคดีวันนี้มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ท่านหนึ่งเป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อยู่ด้วย เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการให้ข้อมูล เพื่อจะได้แก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ เราต้องหาทางทำให้เกิดความสงบให้ได้
...
เรื่องต่อมาจากกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงช่วงหนึ่งว่าต้องการเห็นความสามัคคีและปรองดองนั้น ไม่มีใครไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ แต่การเกิดได้สำคัญคือจะต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาค อย่าเลือกปฏิบัติ จึงขอย้ำสั้น ๆ ว่า กรุณาชดเชยกรณีที่เราเลือกปฏิบัติก่อให้เกิดความเสียโอกาส ซึ่งที่ผ่านมาเคยขอมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านก็เห็นด้วย แต่ว่ายังไม่เป็นรูปธรรมมากนัก จึงขอให้รัฐบาลลองทบทวนดูว่าที่ผ่านมามีอะไรที่ทำให้เกิดความขัดข้องหมองใจ ทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ปรองดอง อันเกิดขึ้นจากการที่มีความรู้สึกว่าไม่ได้รับการปฏิบัติโดยเสมอภาค
พร้อมกันนี้ นายชวน ยังได้ยกคำพูดของนายกรัฐมนตรีเมื่อได้ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “นับเป็นเกียรติยศและความภูมิใจสูงสุดแก่ชีวิตของดิฉันและคณะรัฐมนตรี พร้อมนำพระราชดำรัสมาปรับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน” พร้อมกล่าวต่อไปถึงพระราชดำรัสที่ทรงพระราชทาน คือ “ขอให้พรด้วยความยินดี ให้คณะรัฐมนตรีมีกำลังใจ มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ฯ ไปแล้วเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน” ในหลวงทรงพระราชทานพรอันประเสริฐให้แก่คณะรัฐมนตรี คำถวายสัตย์ปฏิญาณคือ “ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
นายชวน กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่ต้องปฏิบัติในฐานะผู้บริหารคือ 1. ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต 2. ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน 3. รักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ทั้งนี้ ถ้าแต่งตั้งข้าราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เอาตำแหน่งมาเป็นราคา กระทรวงนี้ราคาเท่านั้น จึงฝากว่าในฐานะนักการเมืองฝ่ายบริหารเราต้องปฏิบัติโดยหลักธรรมาภิบาล คือหลักคุณธรรมจริยธรรมที่ให้โอกาสคนเหล่านั้นขึ้นมาตามความสามารถ ไม่ใช่ด้วยราคา ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถรักษาความซื่อสัตย์สุจริตได้ จะได้คนไม่ดีเข้ามาทำงาน แต่จะสำเร็จก็ต่อเมื่อได้คนดีเข้ามาช่วยทำงาน ในขณะที่ข้อ 2 ถ้าเราทำได้จะเป็นประโยชน์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ปัจจุบันเหมือนเป็นระบบที่มือใครยาวสาวเอา ๆ เพราะไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ประเทศและประชาชน
“การบริหารนั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองของท่าน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์เขตเลือกตั้งของท่าน แต่ต้องคิดถึงประโยชน์ของประเทศ ประชาชน องค์กรใดก็ตามที่เป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศ จะไม่ต้องรับใช้พรรคการเมือง ต้องไม่รับใช้นักการเมือง ต้องรับใช้ประโยชน์ของประเทศชาติ ถ้าเป็นเช่นนี้ ความเชื่อมั่นต่อระบอบการปกครองนี้ก็จะมั่นคง และทำให้เห็นว่าระบบการปกครองนี้มีประสิทธิภาพ”
ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้เขียนหลักนิติธรรมไว้หลายตอน ถ้าเรายึดมั่นในหลักนิติธรรม ไม่เคยมีสถานการณ์ใดที่เป็นพิษเป็นภัยต่อประเทศชาติบ้านเมือง รัฐบาลที่ผ่านมาก็ปฏิญาณตนเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่สำเร็จ พร้อมย้ำว่าต้องทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน ก่อนจบการอภิปรายในเวลา 14.04 น.